วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

7 วิถีการกินสู่ความอ้วน

http://doctor.or.th/article/detail/5842

จากการศึกษาวิถีการกินกับความอ้วนของกลุ่มประชาการตัวอย่าง 5,200 ราย พบว่า วิธีการกินอาหารที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินมีอยู่ 7 แบบ หรือ 7 วิถีการกิน คือ

1. การกินตามอารมณ์ บางคนใช้การกินเป็นการระบายอารมณ์จัดการความรู้สึก เช่น ยิ่งเครียดยิ่งกิน ยิ่งเศร้าก็ยิ่งกิน ดีใจก็กินฉลอง เสียใจก็กินประชด พูดง่ายๆว่า อารมณ์แบบไหนก็กินทั้งนั้น

2. กินแต่ของสำเร็จรูป
เพราะหาง่าย อยู่ใกล้มือ ไม่ชอบกินของสด เพราะรู้สึกเหม็นเขียว ไม่อร่อย จืดชืด รสชาติไม่สะใจ ของสำเร็จรูปโดยเฉพาะฟาสต์ฟู้ดจะมีไขมัน แป้ง น้ำตาลค่อนข้างสูง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อ้วนได้หากรับประทานประจำ

3. กินแก้กลุ้ม
กังวลมากไปก็หิวบ่อย เครียดมากไปก็กินบ่อย

4. กินของ "ว่าง" (ที่ไม่ว่าง) ทั้งวัน
กินไปทำงานไป กินไปดูทีวีไป

5. กินเติมเต็มความสุขทางใจ
ทางจิตวิญญาณ การกินเป็นเครื่องแสดงความมีบุญวาสนามีอันจะกิน กินดีอยู่ดี กินให้อ้วน แสดงว่ามีความอุดมสมบูรณ์

6. กินตามบรรยายกาศ
สุนทรียภาพ เช่น กินในที่สงบ ร่มรื่นเย็นสบาย จะกินได้มากเป็นพิเศษ หรือนักชิม ผู้ชอบในศิลปะการทำอาหารหรือการกินอาหาร ทำให้เกินนิสัย "กินเกิน"Ž

7. กินออกสังคม
เช่น กินสังสรรค์ในหมู่เพื่อนญาติมิตรสหาย ในครอบครัวกับคนที่รู้ใจ จะทำให้กินได้นานและมากกว่าปกติ

ดังนั้น ใครที่ไม่อยากอ้วนหรือจะลดน้ำหนักต้องระวังการกินในสถานการณ์ หรือวิถีการกินสู่ความอ้วนทั้ง 7 นี้ไว้ให้ดี ไม่เผลอตัวจนพุงยื่นออกมานอกตัว

(ข้อมูลจากหนังสือ โรคร้ายแห่งการพอกพูนสะสม เขียนโดย นายแพทย์สมเกียรติ แสงวัฒนาโรจน์
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ออกกำลังป้องกันสมองเสื่อม

เรื่องเด่นจากปกเดือนนี้คือ ออกกำลังป้องกันสมองเสื่อม
ที่จริงการออกกำลังป้องกันความเสื่อมทุกชนิด ไม่ใช่เฉพาะสมอง เช่น ป้องกันหัวใจเสื่อม กระดูกเสื่อม ภูมิคุ้มกันเสื่อม ฯลฯ
การออกกำลังเป็นธรรมชาติของมนุษย์มานับด้วยแสนปี เพิ่งมาเมื่อไม่กี่ร้อยปีนี่เองที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงมามีอาชีพทำงานเบา ทำให้ไม่ได้ออกกำลัง ทำให้เกิดความเสื่อมต่างๆ ตามมา
ถ้าออกกำลังกระดูกจะแข็งแรง ไม่เป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกไม่หักง่าย ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่กลัวกระดูกพรุน แล้วไปกินฮอร์โมน กินแคลเซียม อะไรต่างๆ แสนลำบาก ออกกำลังก็ป้องกันได้
ถ้าออกกำลังหัวใจจะแข็งแรง ป้องกันการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเสื่อม
ถ้าออกกำลังจะเปิดหลอดเลือดฝอย ให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น การไม่ออกกำลังหัวใจสูบฉีดเบา หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย เหมือนแม่น้ำลำคลอง ถ้าน้ำไหลอ่อยก็ตื้นเขินตีบตันง่าย ถ้าน้ำไหลแรงก็เปิดทางเดินน้ำให้ไหลคล่อง
ถ้าออกกำลังจะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติได้ดุล ระบบประสาทอัตโนมัติมี ๒ ระบบคือ ระบบเร่งกับระบบเบรก
ถ้าเร่งก็ทำให้ตื่นเต้น ถ้าเบรกก็ทำให้เซื่องซึม ลองสังเกตตัวเองดูถ้าตื่นเต้นไปออกกำลังเสีย ก็ทำให้สงบสบาย ถ้าเซื่องซึมไปออกกำลังเสียก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ความพอดีทำให้รู้สึกสบาย
ถ้าออกกำลังจะทำให้หลั่ง "สารสุข" หรือเอ็นดอร์ฟินส์ออกมามากขึ้น การออกกำลังทำให้ร่างกายหลั่งเอ็นดอร์ฟินส์ออกมามากขึ้นทำให้มีความสุขไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ถ้าออกกำลังทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ป้องกันโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง ถ้าเครียดภูมิคุ้มกันจะต่ำลง ทำให้เป็นโรคติดเชื้อ และมะเร็งง่ายขึ้น คนออกกำลังกายเป็นประจำจึงไม่ค่อยเป็นหวัดเจ็บคอ หรือโรคติดเชื้ออื่น และทำให้การเป็นมะเร็งลดน้อยลงด้วย
ฯลฯ
หมอชาวบ้านจึงรณรงค์เรื่องการออกกำลังมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการสร้างสุขภาวะที่ราคาถูกที่สุด   

โรคอัลไซเมอร์ สาเหตุสมองเสื่อม

โรคอัลไซเมอร์ สาเหตุสมองเสื่อม

"ภาวะสมองเสื่อม" เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นจากการทำงานของสมองส่วนที่เสื่อมลง จนมีผลกระทบต่อการรับรู้ต่างๆ อาการที่พบได้บ่อย คือ การสูญเสียความทรงจำ มีปัญหาเรื่องการใช้ความคิด การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย เฉื่อยชาลง ภาวะสมองเสื่อมเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การขาดสารอาหาร การติดเชื้อในสมอง ปัญหาหลอดเลือดสมอง การแปรปรวนของระบบเมตาบอลิก ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง และสาเหตุหลักที่หลายคนมองข้าม คือ โรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์
เกิดจาการตายของเซลล์ประสาท โดยไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้การทำงานของสมองค่อยๆ เสื่อมลงไป ซึ่งโรคอัลไซเมอร์พบได้บ่อย ในช่วงอายุ ๕๐ ปี ขึ้นไป
อาการของโรคอัลไซเมอร์
อาการทั่วไปที่มักจะพบในผู้ป่วยอัลไซเมอร์คือ การมีความเปลี่ยนแปลง ๓ ด้าน ได้แก่
๑. ความเปลี่ยนแปลงด้านความจำ นึกคำพูดได้ช้าลง สับสนเรื่องวัน เวลา สถานที่ หรือจำบุคคลที่เคยรู้จักหรือคุ้นเคยไม่ได้
๒. ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม เช่น  อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว หวาดระแวง  ซึมเศร้า เฉยเมย หรือบางรายอาจมีการเห็นภาพหลอน
๓. ความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถเดินทางไปในสถานที่คุ้นเคย หรือไม่สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ ทั้งที่ปกติใช้อยู่เป็นประจำ
ดังนั้น หากสงสัยว่าผู้สูงอายุในครอบครัวมีอาการดังกล่าว ควรพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยตรวจร่างกายอย่างละเอียด และหาหนทางรักษาที่ถูกต้องต่อไป 

ออกกำลังการป้องกันสมองเสื่อม

สมองของมนุษย์เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่สุดที่ธรรมชาติมี
สมองสามารถทำงานพร้อมๆ กันทุกระบบ เฉพาะสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพอย่างเดียวมีมากกว่า ๓๐ ศูนย์การทำงาน แต่ละศูนย์มีเครือข่ายเฉพาะของตนเอง แต่ละเครือข่ายมีเส้นใยประสาทมากถึง ๑๐๐,๐๐๐ นิวรอนเป็นองค์ประกอบ สมองสามารถจะรับรู้ภาพได้มากกว่า ๓๖,๐๐๐ ภาพต่อชั่วโมง

ปัจจุบันคนเราหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสมองกันมากขึ้น โดยพยายามหาวิธีการต่างๆ มาบำรุงสมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินที่แปลกพิสดาร เช่น ความเชื่อที่ว่ากินมันสมองลิงแล้วจะทำให้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ได้โรคภัยไข้เจ็บไปแทน หรือการกินอาหารเสริมมากๆ โดยไม่ศึกษาให้ดีว่าอาหารเสริมแต่ละชนิดมีส่วนผสมหรือทำมาจากอะไรและสารอาหารนั้นให้คุณค่ากับสมองหรือไม่

นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอีกอย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจเรื่องสมองของตนเองเลยและคิดแต่แสวงหาอาหารมาบำรุงสมองแต่ไม่หาวิธีการดูแลหรือป้องกันที่จะทำให้สมองไม่เสื่อม ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะมาทำความเข้าใจและดูแลสมองของเราไม่ให้เสื่อมไปก่อนเวลาอันควร แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าทำไมสมองเราจึงเสื่อมลงได้

สมองเสื่อมโทรมได้อย่างไร    
สมองมนุษย์เป็นระบบที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุด การทำงานของสมองจึงปรากฏให้เห็นจากการเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะพฤติกรรมต่างๆ เช่น การทำงาน การใช้ความคิด การเล่นกีฬา การเต้นรำ การร้องเพลง เล่นดนตรี การแก้ปัญหาต่างๆ การรับรู้ที่ก่อเกิดเป็นอารมณ์และความรู้สึก ได้ตามความต้องการของเจ้าของสมอง

ถ้าหากการทำงานของสมองนั้นปกติก็สามารถที่จะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถ้ามีความผิดปกติหรือสมองเสื่อมจะส่งผลทำให้ไม่สามารถกำหนดการเคลื่อนไหวร่างกายให้เป็นไปตามที่ต้องการหรืออาการกระตุกเกร็งขณะขยับเขยื้อนร่างกาย

ความเสื่อมของสมองนั้นอายุเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยเสริมให้การเสื่อมโทรมของสมองบ้าง แต่หากมีการกระทบกระเทือนจากสาเหตุต่างๆ หรือการเลิกใช้ความคิดก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น

โรคสมองเสื่อมมีได้หลายแบบโดยไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์เสมอไป
อัลไซเมอร์เป็นสมาชิกของโรคสมองเสื่อม แต่โรคสมองเสื่อมไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์เสมอไป อาจเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ โรคพันธุกรรม หรือแม้แต่จากยาบางชนิดก็ได้ 
ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำลายสมองได้โดยตรงและเร่งให้สมองคนหนุ่มสาวเสื่อมลงได้จนกลายเป็นเนื้อสมองฝ่อๆ ของผู้สูงวัยได้ในเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น

สำหรับผู้บริหารระดับสูงหรือผู้ที่ต้องใช้สมองมากรับผิดชอบสูงและใช้สมองแบบไม่หยุดหย่อน ปล่อยปละละเลยไม่ผ่อนคลาย สร้างสารก่อความเครียดให้กับตัวเองทุกๆ วัน ความเสื่อมและความชราของสมองก็จะเร่งเข้ามาหาได้เร็วขึ้น ดังนั้น สมองเสื่อมอาจแบ่งได้เป็นชนิดที่มีสาเหตุกับชนิดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้

อัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย มีอาการหลงๆ ลืมๆ จำความไม่ได้ เรื่องที่เพิ่งพูดไปได้ไม่นานก็ลืม ชอบเล่าเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทักษะต่างๆ ที่เคยทำได้หรือฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็ลืมทำไม่ได้ เดินหลงทิศทาง การแก้ปัญหาง่ายๆ ทำไม่ได้  จำชื่อคนไม่ได้ ซึ่งเกิดจากสารหลั่งในสมองที่เกี่ยวกับความจำลดลง และมีการตายของเซลล์สมอง

พบว่ามีสารผิดปกติของอมัยลอยด์ในสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงจนกระทั่งส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย
ถ้าผู้ป่วยเริ่มมีอาการและไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการสมองเสื่อมรุนแรงยิ่งขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน

โรคอัลไซเมอร์นี้ต่างจากอาการสมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ตรงที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากเพียงแต่ประคับประคองไม่ให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว
การดูแลรักษาประคับประคอง เช่น การรักษาด้วยยา การฟื้นฟูความจำ การกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี ๑ และบี ๑๒ ที่ช่วยบำรุงสมอง น้ำมันปลาหรือปลา และควรกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ดื่มน้ำสะอาด ผัก (ผักใบเขียวจัด) ผลไม้ (หลากสี) และถั่วต่างๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และรักษาจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เข้าร่วมสังคมสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือ ออกกำลังสมอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงานไม่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

การออกกำลังสมองคืออะไร
การออกกำลังสมองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยไม่ให้สมองเสื่อมเร็วก่อนวัยอันควร สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการฝึกทักษะการใช้มือ เท้าและประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้รับรู้ข้อมูลและเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ ทั้งรูปแบบอยู่กับที่ แบบเคลื่อนที่หรือแบบใช้อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหว โดยทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดการเชื่อมโยงของระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและสมองส่วนต่างๆ ทำงานประสานสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ
ผลโดยตรงจากการออกกำลังสมอง คือ โครงสร้างของสมองเกิดการพัฒนา
ส่วนผลโดยอ้อมจากการออกกำลังสมอง คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีพลัง จิตใจสดชื่นแจ่มใส เกิดความสุข อารมณ์ดี สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินส์ส่งผลดีต่อสมอง


 ดังนั้น การบริหารสมองจึงเป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่กระตุ้นสมองได้ออกกำลัง เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ เปรียบเสมือน "อาหารสมอง" ที่ทำให้เซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ "เดนไดรต์" ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโตและเซลล์สมองแข็งแรง 

เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง ก็จะทำให้เกิดความจำ การรับรู้ และการทำงานของสมองระดับสูง คือ การคิดคำนวณ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ แก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้น ทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม
เรียกง่ายๆ ว่า "สมองแข็งแรง" เหมือนการออกกำลังให้ร่างกายนั่นเอง สมองจึงเปรียบเสมือนกองบัญชาการที่จัดการควบคุมการทำงานของร่างกายทุกส่วน

สมองส่วนที่ใหญ่ที่สุดที่เรียกว่าซีรีเบรล คอร์เท็กซ์ (cerebral cortex) จะประกอบด้วยสมองที่มีสีเทา คือ ซีรีบรัม (cerebrum) หรือสมองใหญ่กับสมองส่วนที่เรียกว่า สมองน้อยหรือซีรีเบรลลัม (cerebellum) เกาะอยู่ใต้สมองใหญ่ ทำหน้าที่ควบคุม ประสานการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยสมองน้อยทำงานประสานกับสมองใหญ่ ทั้ง ๒ ส่วนนี้จึงมีเซลล์ประสาทอยู่มากที่สุด

สมองส่วนซีรีบรัม (cerebrum) หรือสมองใหญ่ มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมมีรอยหยักเป็นร่องและมีลอนนูนทั่วไป มีร่องใหญ่มากที่ด้านบนตรงกลางกระหม่อม ตรงกลางนี้จะมีร่อง แบ่งครึ่งออกเป็น ๒ ซีกจากด้านหน้าไปหลัง ทำให้สมองแยกออกเป็นสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา

สมองซีกซ้ายและซีกขวาไม่ได้แยกออกจากกันแต่มีกล้ามเนื้อเชื่อมอยู่ตอนกลางเรียกว่าคอร์พัส คอลลอสซัม (corpus collosum) จะเชื่อมโยงการทำงานของสมองด้านซ้ายและด้านขวาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นเสมือนทางจราจรทำให้เกิดความถนัดหรือความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง   ซึ่งเป็นแผนที่ในสมองซีกใดซีกหนึ่งข้ามไปสู่การรับรู้ของสมองซีกตรงข้าม

   


การบริหารสมองเกิดการเชื่อมสายใยสมองอย่างไร
 เมื่อสมองเกิดจากการเรียนรู้เรื่องใดเซลล์สมองจะรับข้อมูลผ่านเดนไดรต์เป็นจำนวนมากแล้วส่งข้อมูลผ่านออกทางปลายแอกซอนที่มีจุดเชื่อมต่อของเซลล์ที่เรียกว่า ซีนแนปส์ (synapses) ด้วยการกระตุ้นตุ่มปลายแอกซอนให้หลั่งสารสื่อประสาท เพื่อส่งต่อสัญญาณและเกิดการเปลี่ยนถ่ายประจุที่ผนังเซลล์จำนวนมากจนเกิดสัญญาณไฟฟ้าแรงพอแผ่ไปถึงบนตัวเซลล์สมอง แล้วส่งต่อสัญญาณให้เซลล์สมองตัวอื่นทำงานพร้อมกันจนเป็นร่างแหวงจรของเซลล์สมอง(neural networks) ทำให้เรารับรู้ จดจำและตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทำ หรืออารมณ์ 
กิจกรรมที่ทำให้สมองทั้ง ๒ ซีกทำงานเชื่อมโยงประสานสัมพันธ์กัน เช่น การเต้นรำ เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้สมองทั้ง ๒ ซีกให้ทำงานประสานกันทั้งระบบ
สมองซีกซ้ายจะต้องทำความเข้าใจในทำนอง เนื้อร้องและคิดท่าที่ใช้เต้นรำ ส่วนสมองซีกขวาต้องเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกในเพลง
ขณะที่เต้นรำอยู่ ในสมองเกิดวงจรการทำงานของประสาทส่วนการเคลื่อนไหวร่างกาย การได้ยิน การมองเห็น การคิด และมีกลุ่มของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเรียกว่า Basal ganglia ที่เข้าไปช่วยเขียนโปรแกรมควบคุมการเคลื่อนไหวและมีสมองน้อย หรือซีรีเบลลรัม (cerebellum) ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมการเคลื่อนไหวในการเต้นรำ ประสานการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย รักษาสมดุลของท่าทาง การทรงตัว การเคลื่อนไหวที่แม่นยำ การกะระยะ จดจำแบบแผนการประสานงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวในท่าเต้นรำต่างๆ ซึ่งเกิดจากการฝึกฝนเรียนรู้โดยสมองน้อยทำงานประสานกับสมองใหญ่ส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย ความคิดทางคณิตศาสตร์และภาษาที่ ๒ เนื่องจากจังหวะของห้องเสียงเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ จึงทำให้สามารถแยกแยะเสียงต่างๆ ได้ดีมีสมาธิทำให้ความจำดี เกิดสุนทรียภาพ มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์  

การฝึกทักษะการเต้นรำท่าเต้นต่างๆ จะใช้สมองซีรีเบรล คอร์เท็กซ์ แต่เมื่อฝึกจนชำนาญสามารถที่จะเต้นได้โดยไม่ต้องนึกถึงท่าต่างๆ ขณะเดียวกันก็สามารถคิดเรื่องอื่นๆ ไปในขณะเต้นอยู่ได้ นั่นก็เพราะ basal ganglia เป็นตัวสั่งการให้ทำโดยอัตโนมัติ

สำหรับผู้ที่ต้องการบริหารสมองด้วยวิธีอื่นที่ไม่ถนัดเต้นรำ ก็สามารถทำกิจกรรมง่ายๆ ได้ เช่น การเล่นหมากรุก หมากฮอส เกมโกะ cross word โยคะ รำมวยจีน ก็สามารถกระตุ้นสมองให้เกิดผลทางตรงได้คือ สมองส่วนต่างๆ ต้องคิดและวางแผน การตัดสินใจ สมาธิ  เกิดการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อมือกับตาส่วนการเชื่อมโยง
กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นการเชื่อมโยงถึงสมองส่วนการคิดแบบมีเหตุผล คณิตศาสตร์และมิติสัมพันธ์ 


ถ้าจะเล่นต่อจิ๊กซอว์จะเกิดประโยชน์ต่อสมองหรือไม่
การเล่นต่อจิ๊กซอว์ก็ใช้กระบวนการเชื่อมโยงทางสมองเหมือนกันแต่จะได้ทักษะคนละอย่าง กล่าวคือในกระบวนการต่อจิ๊กซอว์จะต้องใช้จินตนาการตามโจทก์กว้างๆ ที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของผู้เล่น ทำให้จำนวนชิ้นที่จะต่อมีจำนวนไม่เท่ากัน ในภาพแต่ละภาพก็จะมีรายละเอียดความยากง่ายที่เป็นตัววางเงื่อนไขที่จะกระตุ้นให้เกิดกลไกการคิด การวางแผนและจินตนาการภาพอย่างมีทิศทาง

ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อสมองคือ การทำงานที่ประสานกันของกล้ามเนื้อมือและตา  การกะระยะ การตัดสินใจ ทำให้เกิดสมาธิ ผลของการเชื่อมโยงของสมองด้านมิติสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ เรื่องรูปทรงเรขาคณิต ความจำดี เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และสุนทรียภาพ ซึ่งพื้นฐานทางทฤษฎีของการใช้ประสาทรับรู้ร่วมกันนั้นเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง และการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์

การทำงานบ้านหรืองานอดิเรกก็สามารถบริหารสมองได้เช่นกัน ด้วยการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง ๒ ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น การใช้มือทั้ง ๒ ข้างจับไม้กวาด ๒ ด้ามกวาดบ้านพร้อมกัน การล้างและเช็ดรถด้วย ๒ มือ หรือฝึกทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ร่างกายซีกซ้ายและขวาทำงานด้วยกัน ก็เท่ากับช่วยให้สมองทั้ง ๒ ซีกได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

การฟังเพลงอาจหลับตา เพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับดนตรีได้ดีขึ้น
การปั้นตุ๊กตาด้วยดินน้ำมัน หรือประดิษฐ์ดอกไม้จากแป้ง ก็จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทางผิวหนังให้ได้รับรู้มากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดมุมมองการทำงานของสมองที่มองว่าสามารถพัฒนาได้โดยเฉพาะความชำนาญในการใช้อวัยวะของร่างกายซึ่งนอกเหนือจากการควบคุมของความคิด  และมีงานวิจัยพบว่า มีสมองบางส่วน เช่น สมองฮิปโพแคมพัส สามารถสร้างเซลล์สมองขึ้นใหม่ได้และมีความเป็นไปได้ว่าสมองส่วนอื่นอาจทำได้โดยที่เซลล์สมองในฮิปโพแคมพัสได้รับการกระตุ้นใช้งานอย่างเหมาะสมในด้านการคิด อารมณ์ ทำให้เซลล์เจริญเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๕-๔๐ นั้นหมายความว่ามนุษย์มีการเรียนรู้และสร้างเซลล์สมองขึ้นมาได้ การเชื่อมโยงของเซลล์สมองกับการทำงานของร่างกายจึงเป็นกระบวนการสำคัญของการเรียนรู้

หลักการออกกำลังสมอง
การออกกำลังสมอง มีแนวทางดังนี้
๑. การฝึกให้สมองส่วนต่างๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน
๒. ฝึกกิจกรรมที่ต้องใช้กระบวนการทำงานของสมองอย่างเป็นระบบและผ่อนคลาย
๓. ฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ทำให้เซลล์"เดนไดรต์" เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโตและเซลล์สมองแข็งแรง
๔. ส่งเสริมให้ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้แก่ การได้ยิน มองเห็น การได้กลิ่น ลิ้มรส และการสัมผัส ได้ทำงานประสานเชื่อมโยงกับความพึงพอใจ หรือที่เกี่ยวข้องกับ "อารมณ์" (emotional sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน
๕. การทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง ๒ ข้างทำงานประสานกัน หรือฝึกทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ร่างกายซีกซ้ายและขวาทำงานเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับช่วยให้สมองทั้ง ๒ ซีกได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

ประโยชน์ของการออกกำลังสมองด้วย Brain Activation
. ช่วยให้ทักษะการอ่าน การเขียน การพูดดีขึ้น
๒. ช่วยทำให้สมองแข็งแรงและทำงานอย่างสมดุลของสมอง ๒ ซีกทั้งซีกซ้ายและซีกขวา
๓. ช่วยให้การทำงานของร่างกายประสานสัมพันธ์กันและสร้างสมดุล
๔. ช่วยพัฒนาการจำทำให้ความจำมีประสิทธิภาพดีขึ้น
๕. ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
๖. ช่วยให้เกิดความรู้สึกสงบของร่างกายและจิตใจพร้อมทั้งเกิดความมั่นใจในตนเอง
๗. ช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกาย และเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายให้สมบูรณ์แข็งแรง
๘. ทำให้เกิดความคิดที่จดจ่อและมีความจำแม่นยำ
๙. ทำให้ทักษะทางด้านการติดต่อสื่อสารและภาษามีการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้น
๑๐. ทำให้บรรลุเป้าหมายเป็นบุคคลมืออาชีพ

ตกขาว

ตกขาว
มีคนไข้จำนวนไม่น้อย... ผมหมายถึงคนไข้หญิง... ที่ไปหาแพทย์ด้วยเรื่องตกขาว...จากการศึกษาพบว่า หนึ่งในสามของคนไข้นรีเวช มีปัญหาในตกขาวนี้มาก ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ตกขาวมีลักษณะเป็นหนอง ตกขาวเป็นก้อนๆ ตกขาวทำให้คันช่องคลอดและอีกหลายๆ จะบ่นจากปากคนไข้ แม้ว่าบางคนบอกคุณหมอว่า "อีฉันไม่มีตกขาวหรอกค่า ที่มาหาคุณหมอนี่ก้อ เพราะว่าตกเขียว มันแยะจัง" เป็นงั้นไป
เห็นจะต้องมาทำความรู้จักกันเสียก่อนว่า "ตกขาว" มันคืออะไร ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่า มันก็คือสิ่งซึ่งออกมาจากช่องคลอด มีสถานะเป็นของเหลว หรือบางครั้งกึ่งของเหลว ทั้งนี้และทั้งนั้น ยกเว้นเลือด
"ตกขาว" มีหลายชื่อ เรียก...ระดูขาว เมนส์ขาว มุตกิจ ตรงกับภาษาแพทย์ว่า ลิวคอเรีย (Leukorrhea) ทำไมต้องมีคำว่า "ขาว" อยู่ด้วย ก็เพราะว่าปกติวิสัยแล้ว มันจะมีสีขาว ถึงแม้ว่าในสภาวะผิดจากปกติไป จะมีสีอื่นเราก็ยังเรียกว่า "ตกขาว" อยู่นั่นเอง ก็อย่างว่า คุณหมอบางคนพาซื่อพิจารณาดูตกขาวเห็นเป็นสีอื่น เช่น สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้างก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า ตกเขียว ตกเหลือง ก็เป็นที่เข้าใจกัน ถึงแม้ว่าชื่อเหล่านี้ ผู้ป่วยจะเข้าใจเรียกไปเองก็ตาม
"ตกขาว" มีทั้งปกติและผิดปกติ ฉะนั้นคุณผู้หญิง ไม่ว่า เด็กเล็ก เด็กโต สาวน้อย สาวมาก แก่น้อย แก่มาก ต่างก็มีตกขาวด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ปกติหรือไม่เท่านั้น แล้วผมจะเขียนให้อ่านต่อไปว่า แบบไหนผิด แบบไหนไม่ผิดปกติ ถ้าผิดปกติจะผิดอย่างไร
โดยปกติแล้ว ผู้หญิงทุกคนจะมีตกขาว เพียงแต่ว่าจะมีอยู่ในขอบเขตที่พอดี ไม่ออกมาเพ่นพ่านข้างนอก หรือจะออกมาก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็อีกนั่นแหละ อาจมีข้อยกเว้นบ้างในกรณี ยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆ เช่น คุณผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง จะมีตกขาวมากกว่าธรรมดา
ปากช่องคลอด ... ช่องคลอด... ปากมดลูก... มดลูก และปีกมดลูกต่างก็มีส่วนในการสร้างตกขาวด้วยกันทั้งนั้น เมื่อส่วนนั้นผิดปกติไป ตกขาวก็กระทบกระเทือนผิดปกติไปด้วย
มาพิจารณาบริเวณปากช่องคลอด... ส่วนมดลูก... ประกอบไปด้วยต่อมหลายอย่าง มีความสำคัญในการสร้างน้ำมูกไว้หล่อลื่นในคราวจำเป็น
ปกติแล้วตกขาวจากปากช่องคลอดนี้มีไม่มากแต่ตรงข้าม เมื่อติดเชื้ออักเสบเข้าแล้วละก้อ เลอะเทอะเชียวครับ อย่างเช่น ต่อมที่มีชื่อ ยังกะดาราฮอลลี่วู้ด "บาร์โทลีน" ครับ ต่อมบาร์โทลีน อยู่สองข้างของปากช่องคลอด วันดีคืนดีได้รับเชื้อ... ส่วนมากก็เชื้อโกโนเรีย... หนองใน... เป็นเหตุ... มักก็จะบวมโต เป็นฝี เป็นหนองออกมา ทำให้ผู้เป็นเจ้าของต้องพบกับความเจ็บปวดไม่น้อย บางคน เจ็บเสียเดินแทบไม่ไหว หรือถ้าไหว ก็ต้องเดินแบบจังโก้จังก้ากันเลยที่เดียว นี่ถ้าหากเป็นในคุณผู้ชาย เดินไปในดงนักเลงอาจจะเจ็บตัวฟรีๆ เป็นของแถมซะอีก โชคดีที่คุณผู้ชายไม่มีด "บาร์โทลีน" ที่ว่า เป็นฝีของต่อมบาร์โทลีน เจ็บปวดมาก ใครไม่เคยไม่รู้ แต่อาการเจ็บปวดแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อแพทย์ผ่าฝี เอาหนองข้างในออกมา
ครับ บางคนอาจมีต่อมนี้โต โดยไม่เจ็บปวดก็โชคดีไป ที่ต่อมนี้โตโดยไม่อันตรายแต่โตเพราะว่ารูปิดของต่อมเกิดตัน เมื่อตันเมือกหรือมูกข้าวในก็ออกมาไม่ได้ เกิดกักตุนอยู่ข้างใน ต่อมก็โตเอโตเอาจนรำคาญ ต้องผ่าเปิดรูกันใหม่ นั่นแหละจึงจะสบาย
การอักเสบของต่อมนี้ มักจะเป็นข้างเดียว ไม่ซ้ายก็ขวา มีส่วนน้อยซวยหน่อยก็ว่าทีเดียวสองข้างเลย
นอกจาก เชื้อพระเอกหนองในแล้ว ยังมีเชื้อโรคอื่นๆ อีก รวมทั้งเชื้อราด้วย ที่เป็นเหตุให้มีตกขาวมากขึ้น ใครที่มีอาการคันปากช่องคลอดบ่อยๆ นั่นแหละครับ อาจมีสาเหตุมาจากเชื้อราได้ ถ้าเป็นบ่อยควรตรวจร่างกายว่า เป็นเบาหวานหรือไม่
ลึกเข้าไปอีกหน่อยจากปากช่องคลอด ก็คือ ช่องคลอด ภาษาอังกฤษ ฟังดูไพเราะหูอีกเช่นเคย ...วาไจน่า... แต่ยังไม่เคยได้ยินซะทีว่า มีฝรั่งชื่อ มิสวาไจน่า อย่าได้ไปหลงตัวเข้าเชียวละ
ในช่องคลอดไม่มีต่อม ไม่มีไต จึงมีส่วนช่วยสร้างตกขาวในสภาวะปกติน้อยมาก แต่ในช่องคลอดเป็นแหล่งที่ตกขาวได้อาศัยพักพิง ในช่องคลอดต้องชื้นอยู่เสมอ ถ้าขืนแห้งแล้งเมื่อใด เป็นลำบากเมื่อนั้น ยิ่งกว่าความแห้งแล้งในอีสานเสียอีก ดังนั้น เป็นธรรมชาติ ที่ในช่องคลอดต้องชื้นอยู่เสมอ ด้วยตกขาวด้วยมูก ที่มาจากต่อมในปากมดลูก
สภาพแวดล้อมในช่องคลอด มีแบคทีเรียอยู่หลายสกุล ปกติวิสัย ไม่ทำร้ายช่องคลอด มีอยู่สกุลหนึ่งตัวโตกว่าเพื่อนเขา ทำหน้าที่ช่วยดูแลความสะอาดเรียบร้อย ภายในช่องคลอด ให้ช่องคลอดอยู่ในสภาพเป็นกรดอ่อนๆ “โดเดอร์ลีน” เป็นชื่นของแบคทีเรียสกุลนั้น
เมื่อช่องคลอดอักเสบจากเชื้ออะไรก็ตาม ทำให้มีตกขาวมากขึ้น ตกขาวมักจะมีลักษณะเป็นหนองปนมูก หรือหนองล้วนๆ จนบางคนเปลี่ยนชื่อเรียก เป็น ตกเขียว เพราะมันไม่มีสีขาว ซะแล้ว ไม่เป็นหนองอย่างเดียว แถมกลิ่นก็ไม่ชวนดม กลิ่นไม่สะอาด...เหม็น สาเหตุที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบ เป็นเหตุให้เหตุให้ตกขาวเลอะเทอะเป็นตกเขียวนั้น...ในวัยสาวพบว่า...เชื้อหลายๆ อย่างชอบ
โกโนเรีย เอย...แบคทีเรีย สกุลอื่นๆ เอย...เชื้อราเอย และเชื้อพยาธิที่ไม่ใช่พยาธิไส้เดือนตัวกลมตัวแบนหรือเส้นด้ายอย่างพบที่ในลำไส้ถึงรูก้น แต่เป็นเชื้อพยาธิอีกประเภทหนึ่ง ที่ชอบอยู่ในช่องคลอดเท่านั้น มีชื่อเสียงเรียงนามว่า “ทริโฆโมแนส”
ลักษณะของตกขาว พอบอกได้ ดังนี้
ถ้าเป็นเชื้อโกโนเรีย หรือแบคทีเรียอื่น ตกขาว มักเป็นหนอง แต่ถ้าเป็นเชื้อพยาธิอย่างว่า นอกจาก ลักษณะคล้ายหนองแล้ว มักจะฟองด้วย...สีเขียวเป็นฟองและมีกลิ่นเหม็น แต่ถ้าเป็นเชื้อราลักษณะก็แตกต่างไปอีกแบบ... คล้ายนมที่ทารกแหวะออกมา... ยังไงยังนั้น คล้ายกันมาก
อาการนั่นหรือครับ ถ้าเป็นเชื้อรา เชื้อพยาธิแล้วละก้อ รับรองว่า ส่วนมากจะมีอาการคันยุบยิบน่ารำคาญเป็นที่สุด จะเกาก็เกาไม่ได้ เพราะมันคันอยู่ข้างในอย่างว่า... แต่ถ้าเป็นเชื้อโกโนเรีย เชื้อแบคทีเรียอื่น อาการคันอาจจะไม่มีก็ได้
พูดถึงเชื้อรา พบว่า มับชอบเกิดในคุณๆ ที่เป็นเบาหวาน หรือคุณๆ ที่กินยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ
การวินิจฉัยว่าเชื้ออะไรเป็นเหตุนั้น ไม่ยากเลยครับ ขอให้มีตกขาว... เอาไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ อาจจะย้อมสีหรือดูกันสดๆ ก็แล้วแต่จุดประสงค์ว่าจะดูเชื้ออะไร ถ้าดูเชื้อโกโนเรีย เชื้อแบคทีเรียก็ต้องย้อมสีถึงจะรู้เรื่อง ถ้าดูเชื้อพยาธิก็ดูกันสดๆ เห็นกันชัดเจนยั้วเยี้ยไปหมดถ้ามี ถ้าจะดูเชื้อราก็พิเศษไปอีกนิด ต้องใส่น้ำยาโปตัสเซียมฮัยดร๊อกไซด์ไปทำลายเซลล์ชนิดอื่นเสียก่อน จึงจะเห็นเชื้อราได้ชัดเจน
การรักษา หรือครับ...ถ้าจะให้ดีแล้วละก้อควรจะได้รับการตรวจให้แน่นอนเสียก่อนว่า มันเนื่องมาจากเชื้ออะไรกันแน่ แล้วจึงให้การรักษาตามสาเหตุอันนั้น ไม่ว่าจะให้ยากิน ยาสอด ยาล้าง จึงจะได้ผลดี
คุณที่หายแล้ว เป็นอีก ซ้ำๆ ซากๆ ก็ต้องตรวจหาสาเหตุอื่นร่วมกันไปด้วย เช่น เป็นต้นว่า เป็นเบาหวานหรือไม่ บางคนอยู่ในชุดอาบน้ำนานๆ ท่านว่า เชื้อรามันชอบนาครับ
มีเชื้อโรคอีกชนิดหนึ่ง เป็นกระโถนท้องพระโรง... คุณนึกออกหรือเปล่าครับ อ๋อ ใช่แล้ว เชื้อไวรัสไงละครับ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตกขาว มีมากผิดปกติไปได้ ความจริงแล้ว เชื้อไวรัสมีหลายขนิด แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งอุตริเป็นแต่อวัยวะเพศอยากทราบชื่อไหมครับคุณ... ผมจะบอกให้ “เฮอร์ปี่ ชิมเพลกช์-2” นั่นแหละเขาหละทำเอาคุณผู้หญิง หรือคุณผู้ชาย ก็ตามแต่ น้ำตาตกมาแล้ว เพราะความปวดแสบ ปวดร้อน ชนิดอย่าบอกใครเชียวแหละครับ
ยังมีอีกครับ เกี่ยวกับช่องคลอด ที่เป็นเหตุให้ตกขาวมากจนรำคราญ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ถ้าหากมีตกขาวมาก หรือมีหนองออกมาก สิ่งแรกที่ควรนึกถึงก็คือ เด็กใส่สิ่งแปลกปลอมอะไรเข้าไปรึเปล่า เป็นต้นว่า เมล็ดมะขาม เศษไม้ ก้อนหิน ลูกแก้ว และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เด็กอยากใส่เข้าไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์... เหล่านี้ทำให้ตกขาวมีมากได้
ในคุณผู้ใหญ่ ก็เช่นกัน ใส่ซับในชนิดสอดในช่องคลอด ใส่ลืมว่างั้นเถอะ มารู้เอาอีกที่ตกขาวเลอะเทอะแล้ว
แปลกแต่งจริงอีกอย่างในเด็ก เกี่ยวกับสาเหตุของตกขาวมาก ในประเทศฝรั่งมังค่าเขานะ เขาทำการศึกษาพบว่า นอกเหนือจากสารแปลกปลอมเข้าไปในช่องคลอดแล้ว อันดับรองลงมา คือ เชื้อโกโนเรียหรือหนองใน นั่นแหละ เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เด็กๆ มีตกขาวกันมาก บ้านเรายังไม่มีรายงานที่แน่นอนในเรื่องนี้
ทีนี้หันมาดูในคนสูงอายุกันบ้าง แน่ละ ส่วนมากแล้ว มักจะแห้งแล้ง เนื่องจากขาดฮอร์โมนหล่อเลี้ยง แต่ถึงกระนั้น จากสภาพอันนั้นนั่นเอง ทำให้ช่องคลอดคนแก่ เป็นแผลได้ง่าย แล้วอักเสบ เชื้อที่ว่าส่วนใหญ่แล้ว ไม่ใช่โกโนเรีย แต่เป็นเชื้อเปะปะนานๆ จะมีโกโนเรียหลงมาซะที ตกขาวมากในคนแก่ก็สามารถพบได้ด้วยสาเหตุประการฉะนี้แล
อันดับต่อไป ก็มาถึงแหล่งสำคัญ ที่สร้างตกขาว นั่นก็คือ ตัวปากมดลูก ที่บริเวณปากมดลูก จะมีต่อมเล็กๆ อยู่มากมาย ทำหน้าที่สร้างมูกออกมา มากน้อยตามระยะของรอบเดือน มีมากที่สุดก็ตอนระยะไข่ตก
ลักษณะปกติของมูกจากต่อมปากมดลูก ก็คือ เป็นมูกใส ถ้าเป็นมูกที่ออกมาทางรูจมูกนั้น เป็นมูกใสๆ อย่างไร ที่ออกมาจากปากมดลูก ก็อย่างนั้น
เมื่อไร ต่อมปากมดลูกทำงานมาก มูกก็จะออกมามาก เมื่อไร ต่อมปากมดลูกอักเสบ มันก็จะสร้างน้ำมูกออกมามากด้วย และเชื้อต่างๆ ก็ชอบต่อมของปากมดลูกซะด้วย คุณเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า ปากมดลูกอักเสบบ้าง เป็นแผลปาก นั่นแหละครับ ตามที่ปากมดลูกก็พลอยฟ้าพลายฝนไปด้วย ทำให้ตกขาวมากเป็นผลตามมา
เชื้อที่ช่องปากมดลูก ก็เช่นกัน โกโนเรีย และเชื้อแบคทีเรียตัวอื่นๆ รวมทั้งพ่อไวรัสด้วย แม้แต่เชื้อพยาธิ “ทริโฆโมแนส” ก็ไม่เว้น เหล่านี้ทำให้ตกขาวมีมาก จากสาเหตุดังกล่าว และตกขาวเป็นหนองด้วย
การรักษาก็เช่นกัน ควรจะได้ทราบชนิดของเชื้อเสียก่อน จึงจะให้ยาได้ถูกต้อง การที่คุณตกขาวออกมาผิดปกติหน่อยก็ไปร้านขายยา ได้ยาเหน็บมาสอดมากินก็ตามแต่ โชคดีก็หายไป โชคไม่ดี ก็เสียเงินเปล่า ใช่ไหมคุณ
ตกขาว มิได้หมดอยู่แค่นั้น ตัวมดลูกเองก็มีส่วนทำให้ตกขาวผิดปกติไปได้เหมือนกัน แต่ไม่มากเหมือนกับปากมดลูก
ในช่วงหลังของรอบเดือน อาจมีน้ำออกมาจากโพรงมดลูก ช่วยส่งเสริมให้ตกขาวคุณมากขึ้น เช่นนี้ก็เป็นได้เหมือนกัน
นอกจากตัวมดลูกแล้ว ท่อรังไข่ก็ไม่เว้น มีส่วนทำให้ตกขาวมามากขึ้นได้ เช่นในกรณีทีท่อรังไข่อักเสบ หรือในกรณี ท่อรังไข่ตันบริเวณส่วนปลาย เกิดมรน้ำขังอยู่ในท่อ เมื่อขังอยู่มากเข้า ออกทางปลายไม่ได้ ก็แน่นอนต้องไหลกลับมาทางโพรงมดลูก ออกทางปากมดลูกเข้าสู่ช่องคลอด ออกมาทางปากช่องคลอดแล้วคุณก็เรียกมันว่า ตกขาว เหมือนกัน
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เป็นไงครับคุณตกขาวผิดปกติรึเปล่าครับ อย่ามัวอายหมออยู่เลยนะครับ ไปรับการตรวจเสีย แล้วคุณจะได้รู้ว่ามันก็คือ ตกขาว ที่เป็นปกติของคุณนี่เองหลงไม่สบายใจอยู่ตั้งนาน
อ้อ แล้วอย่าลืมบอกหมอให้ช่วยตรวจมะเร็งปากมดลูกให้ด้วยละครับ ก็ในเมื่อมะเร็งปากมดลูกมันก็ทำให้ตกขาวผิดปกติไปจากธรรมดาได้เช่นกัน หากตรวจพบว่า เป็นมะเร็งปากมดลูก ในระยะเริ่มแรก ซึ่งรักษาให้หายได้ คุณเห็นจะต้องขอบอกขอบใจตกขาวละครับ ที่โผล่หน้ามาบอกให้คุณรู้ตัวเสียแต่เนิ่นๆ แต่ก็อย่างว่า อย่าให้เป็นอะไรเลย นั่นแหละดีที่สุด (จากหมอชาวบ้าน)

ดื่มน้ำแก้ท้องผูก

http://www.pantown.com/group.php?display=content&id=76796&name=content3&area=

วิธีดื่มน้ำ 5 แก้ว แก้ท้องผูก

วิธีนี้นอกจากจะช่วยแก้ท้องผูกแล้ว
ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นทุกๆด้านอีกด้วย
เพราะร่างกายเมื่อได้รับน้ำปริมาณมากเพียงพอตั้งแต่ตื่นนอนใหม่ๆ
ก็จะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้เป็นปกติตลอดทั้งวัน
ปากคอจะขุ่มขื่น สบายเนื้อสบายตัวดี ตลอดวัน
ส่วนวิธีการดื่มน้ำแก้ท้องผูกมีดังต่อไปนี้

1 ) น้ำ 5 แก้ว แก้วละประมาณ 200 ซีซี รวมแล้วเป็น 1000 ซีซี หรือ1ลิตร
สำหรับคนตัวใหญ่หรือมีความสามารถจะดื่มให้มากกว่านี้ก็ได้
ให้สังเกตดูว่าตัวเราเหมาะกับปริมาณเท่าใด
บางคนไม่ถึง 5 แก้วก็ปวดท้องถ่ายแล้ว
บางคนต้องมากกว่านั้นจึงจะรู้สึกปวดถ่าย
แต่โดยมาก 5 แก้วก็มากเพียงพอแล้ว

2 ) ให้ใช้น้ำดื่มที่ไม่ได้แช่เย็น

3 ) ให้ดื่มทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า
หลังจากลุกจากที่นอนใหม่ๆ ให้ดื่มน้ำนี้ทันทีก่อนทำกิจกรรมอื่นใดทั้งหมด
ก่อนดื่มน้ำ ก็ควรจะบ้วนปากให้สะอาดเสียก่อน

4 ) ทยอยดื่มไปจนกว่าจะครบ 5 แก้ว
ไม่จำเป็นต้องดื่มรวดเดียว ค่อยๆ ดื่มไปจนกว่าจะครบ

5 ) ในระหว่างการดื่มหรือหลังจากดื่มจนครบแล้วให้คอยสังเกต
หากมีอาการปวดท้องถ่ายแม้เพียงเล็กน้อย ให้เข้าห้องสุขาถ่ายท้องทันที
หากยังไม่มีอาการปวด การลุกยืนหรือเดินไปมาจะมีส่วนช่วยให้น้ำเดินทางไปเร็วขึ้น หากรอนานเกินไปการดื่มน้ำจะไม่ได้ผล ให้พยายามถ่ายท้องให้ได้หลังจากดื่มน้ำไปไม่นานนัก

6 ) หากการดื่มน้ำบรรลุผล การถ่ายท้องจะเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
แรกๆจะเป็นก้อนออกมาก่อน ต่อจากนั้นจะเป็นน้ำเหลวๆ ไหลออกมาเป็นสาย
ถ้าถึงขั้นเป็นน้ำออกมาเมื่อใด นั่นคือการถ่ายท้องออกหมดจดดี
และถือว่าการถ่ายท้องครั้งนี้ประสพความสำเร็จแล้ว

7 ) คนโดยมากจะมีอุจจาระหรืออาหารเก่าตกค้างอยู่ในลำไส้เป็นจำนวนมาก
และบ้างก็เกาะเป็นคราบหนาติดอยู่กับผนังลำไส้
ทำให้การดื่มน้ำทะลวงลำไส้ในครั้งแรกนั้นอาจจะไม่ง่ายนัก
ดังนั้นผู้ที่ฝึกหัดทำในครั้งแรกๆ เมื่อไม่สำเร็จก็อย่าเพิ่งท้อ
ให้พยายามทำต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ
หรืออาจจะทำดีท็อกสวนทวารก่อนในครั้งแรกๆ
เมื่อลำไส้สะอาดหมดจดดีแล้วจึงค่อยฝึกหัดกินน้ำ5แก้วในวันต่อๆไป


เคล็ดลับช่วยให้ออกง่าย
การดื่มน้ำ5แก้วนี้ แม้ผู้ที่ทำชำนาญแล้วก็ยังมีบางวันที่ออกยาก คือไม่รู้สึกปวดถ่ายและถ่ายไม่ออก วิธีแก้ไขมี 2 วิธี

1) นวดท้องช่วย
เมื่อดื่มน้ำเสร็จแล้วให้ไปนั่งถ่ายทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ปวดท้องถ่าย เพราะการนวดท้องสามารถช่วยให้รู้สึกปวดถ่ายและถ่ายออกมาได้ วิธีการไม่มีหลักตายตัว อาจจะใช้อุ้งมือนวดและคลึงไปรอบๆท้องน้อยหรืออาจจะใช้ปลายนิ้วทั้ง4 กดลงไปรอบๆท้องน้อยสุดแล้วแต่วิธีไหนใช้แล้วได้ผล เมื่อกดหรือนวดไปได้สักพักจะรู้สึกปวดเบ่งเริ่มจากทีละน้อยและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถ่ายออกมาได้ในที่สุด

2) ดื่มน้ำผลไม้ก่อนนอน
การดื่มน้ำผลไม้ก่อนนอนจะช่วยให้การดื่มน้ำ5แก้วในตอนเช้าได้ผลดีมาก คือจะรู้สึกปวดเบ่งทันทีหลังจากดื่มน้ำครบจำนวน หรือบางครั้งดื่มไม่ทันจะครบก็ปวดถ่ายขึ้นมาแล้ว ถึงแม้บางครั้งไม่รู้สึกปวดท้องถ่ายแต่พอนวดท้องเพียงเล็กน้อย ก็จะรู้สึกปวดขึ้นมาทันที ได้ผลรวดเร็วดีมาก น้ำผลไม้ที่ว่านี้ ได้แก่ น้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำมะขาม น้ำแครอท น้ำมะเขือเทศ น้ำแอปเปิล เป็นต้น และยังรวมไปถึงน้ำสมุนไพรหรือชาสมุนไพรอื่นๆอีกด้วย สุดแล้วแต่ว่าใช้แบบไหนแล้วได้ผลดี เช่น น้ำผึ้ง น้ำส้มสายชูหมัก น้ำหมักชีวภาพ นมเปรี้ยว น้ำเก็กฮวย น้ำหล่อฮั้งก้วย น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น ที่สำคัญอย่าใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายโดยตรง เช่น ฝักคูณ ยาดำ เพราะยาถ่ายสามารถใช้ได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น หากนำมาใช้ทุกวันจะทำให้เกิดการดื้อยาหรือชาชินกับยา ที่สำคัญยาถ่ายย่อมทำให้ท้องถ่ายอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องกินน้ำ5แก้วช่วยในตอนเช้า ส่วนผลไม้หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆเช่นน้ำส้มหรือน้ำอื่นๆที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สามารถใช้ได้ทุกวัน ไม่ทำให้ร่างกายชาชินหรือดื้อยา แต่มีข้อควรระวังคือไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียวซ้ำๆต่อเนื่องเป็นเดือนเป็นปี ควรใช้หลายๆอย่างสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปจะเป็นการดีที่สุด ทดลองใช้น้ำอื่นๆดูบ้าง เช่น น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบบัวบก เป็นต้น เพราะยิ่งหลากหลายยิ่งมากอย่างยิ่งดี

3) ดื่มไปเรื่อยๆโดยไม่จำกัดว่าต้อง 5 แก้วหรือ 1 ลิตรเท่านั้น
อาจจะเป็นถึง 2 ลิตร หรือ 3 ลิตร หรือมากกว่านั้นโดยไม่ต้องจำกัดเวลา ค่อยๆทยอยดื่มโดยอย่าฝืนมากเกินไป คือหยุดพักบ้างเป็นระยะ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะปวดท้องถ่ายขึ้นมาเอง ได้ผลดีเช่นกัน

วิธีดื่มน้ำแก้ท้องผูกขอจบลงแต่เพียงเท่า

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของการสวดมนต์

http://www.bkk1.in.th/Topic.aspx?TopicID=20420


ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์)

เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวด มนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้
การ สวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือ การใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
ดัง นั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???
คลื่นแห่งการเยียวยา
การ สวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย
เสียง สวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์
รอง ศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้
“สมองของ เราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น”
ดัง นั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า
“หลักการ สำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”
และ ไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์
สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”
และ เมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า
“เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”
นอก จากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียง ต่างๆ เช่น
โอม …… กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ……. กระตุ้นคอ
ยัม ……. กระตุ้นหัวใจ ราม …….กระตุ้นลิ่นปี่
วัม ……. กระตุ้นสะดือ ลัม ……. กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น
แต่ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด
รอง ศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ
1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด
เมื่อ ร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำ งานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์ สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้
1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3.เบาหวาน
4. มะเร็ง 5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า
7. ไมเกรน 8. ออทิสติก 9. ย้ำคิดย้ำทำ
10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน
สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค
สวด มนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ
1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง
เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการ ที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ
- ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
- หาสถานที่ที่สงบเงียบ
- สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
- ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน
2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์
เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้ อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น
ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ
บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก
การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับ ผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป
เลือกสวดมนต์อย่างไรดี
แล้ว บทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า
“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น”
พระ พุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย
“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”
อยาก ให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ

เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเอง
เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน
เกิดแล้วตายไม่สิ้นสุดจะเอาอีกหรือ
เกิดบ่อยตายบ่อยเป็นทุกข์บ่อยๆสนุกหรือ
ถ้าไม่พ้นเกิดไม่พ้นตายแล้วจะมาเกิดทำไม?

สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
สรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย
ธรรมะสวัสดี กรุ๊ป
คลังเมล์สาระดีๆทางธรรม และทางโลกและอื่นๆอีกมากมาย เพียบ!
http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee?hl=th
จาก นิตรสารชีวจิต

 

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โรคบ้าความขาว

จากชื่อเรื่องที่ต้องเขียนว่า "โรคบ้าความขาว...ของวัยรุ่นไทย" ก็เพราะหากเขียนเป็น "โรคบ้าความขาว" อย่างเดียว พาลจะนึกไปถึงอาการไม่เหมาะ  ไม่ควรของผู้ใหญ่เพศชายบางคนที่แพ้ความขาวของผู้หญิงอันนี้หลายคนทราบดี

แต่ที่อยากพูดถึงคือความอยากมีผิวขาวของวัยรุ่นไทยทั้งหญิงและชาย ซึ่งปัจจุบันเป็นกระแสที่มาแรงมากจนบางคนอยากเปลี่ยนสีผิวที่พ่อแม่ให้มากันเลยทีเดียว

อันที่จริงแล้ว กระแสความอยากขาวใส ขาวเด้งนี้ น่าจะมีต้นแบบมาจากดาราญี่ปุ่น เกาหลี ที่เขามีผิวขาวเนียนเป็นทุนอยู่แล้ว หรือแม้แต่ดาราไทยบางคนก็ผิวดีมาแต่กำเนิดและมีการดูแลผิวพรรณ เป็นอย่างดี

ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจก่อน ไม่ใช่หลับหูหลับตาคิดว่าจะมียาวิเศษ หรือครีมวิเศษอะไรทำให้ขาวได้ดังใจ เพราะขึ้นกับพื้นฐานสีผิวของแต่ละคน ดูง่ายๆ คือ คนเราจะผิวขาวได้มากที่สุดก็ประมาณผิวใต้ร่มผ้า ที่ไม่สัมผัสแดด คือถ้าดูแลบำรุงดีๆ ก็จะได้แค่นั้นแหละ (อันนี้พูดถึงขาวปกติทั่วไป ไม่เกี่ยวกับการฉีดสารยับยั้งเปลี่ยนแปลงเซลล์เม็ดสี)
มีผู้ป่วยของหมอคนหนึ่งเป็นวัยรุ่น เคยมาปรึกษาว่า
"ทุกวันนี้หนูกินวิตามินซี  1,000 มิลลิกรัม วันละเม็ด แต่ยังไม่ค่อยรู้สึกขาว จะขอฉีดเพิ่มอีกได้ไหมคะ เพื่อนหนูเค้ากินด้วยแล้วก็ฉีดทุกสัปดาห์เลย ก็ขาวขึ้น ใสกิ๊กเลยค่ะ"
ได้ฟังแค่นี้ก็เครียดแล้วครับ เด็กสมัยนี้ไม่กลัวเข็มกลัวเจ็บกันเลย ห่วงสวยมากกว่า
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องการนิยมฉีดกลูตาไทโอน โดยหวังผลให้ผิวขาวขึ้นจากการไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสี ซึ่งคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็เคยออกมาเตือน และห้ามฉีดในสถานเสริมความงาม เพราะมักจะอวดอ้าง สรรพคุณเกินจริง และผลของความขาวจะอยู่ได้เพียงชั่วคราว ถ้าโชคไม่ดีอาจแพ้ยาหรือเจอยาปลอมก็เกิดอันตรายได้ ที่น่าห่วงคือยังมีการแอบให้บริการฉีดอยู่ ก็เพราะค่านิยมอยากขาวกันนี่แหละที่ทำให้หลายๆ คน "ยอมเสี่ยง เพราะอยากสวย"

มาพูดถึงวิตามินซีกันต่อ ที่จริงแล้วการที่คนเรากินอาหารได้ตามปกติ กินผักผลไม้บ่อยๆ ก็จะได้รับจาก อาหารเพียงพออยู่แล้ว วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย เช่น ปกป้องเซลล์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ เป็นต้น แต่หากได้รับมากเกินไปอาจเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุบางอย่าง อาจทำให้เกิดนิ่วในไตได้ นอกจากนี้ ยังสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น กินผักผลไม้ จะปลอดภัยและประหยัดกว่า

คนที่นิยมใช้วิตามินซีเพื่อบำรุงผิวพรรณมีหลายคนที่ทั้งกินทั้งฉีด บางคนซื้อวิตามินซีหรือกลูตาไทโอนมาฉีดเอง หรือให้คนที่ไม่มีความรู้เรื่องการฉีดยาฉีดเข้าหลอดเลือดให้ ฟังดูน่ากลัวมาก ทำไมช่างใจกล้ากันเหลือเกิน การฉีดยาสุ่มสี่สุ่มห้านั้นอันตรายมากโดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือด ทั้งเรื่องของการฉีดไม่ถูกวิธี การติดเชื้อ อันตรายจากการฉีดเกินขนาด การแพ้ยา และยาปลอม เป็นต้น

เรื่องของวิตามินเพิ่มความสวยนี่ แม้แต่ภรรยาผมเองยังเคยมาปรึกษาเรื่องวิตามินแบบเม็ดรวมทั้งอาหารเสริมของต่างประเทศอีกสารพัดประเทศ  โดยนำกล่องตัวอย่างจากเพื่อนมาให้ดู บางตัวยังแปลไม่ออกเลยด้วยซ้ำเพราะไม่มีภาษาอังกฤษก็เลยไม่ทราบว่าคืออะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง กินอย่างไร มีผลอย่างไรต่อร่างกาย รู้กันคร่าวๆ ว่าตัวนี้กินแล้วขาว ตัวนั้นกินแล้วลดริ้วรอย แค่คิดก็น่ากลัวแล้วครับ กรณีนี้เลยถูกผมเตือนปนเอ็ดไปแล้ว นี่ขนาดไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ   ยังอดตามกระแสกับเขาไม่ได้

สำหรับวิธีการที่ทำให้ ผิวพรรณสวยสดใส ดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องพึ่งสารสังเคราะห์ใดๆ และยังปลอดภัยต่อร่างกายด้วย คือการกินอาหารที่มีประโยชน์ กินผักผลไม้ บ่อยๆ (ที่มีวิตามินซีมากคือ ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม) ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2 ลิตร ออกกำลังกายให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนดี พยายามไม่เครียด ใช้ครีมกันแดดทุกวัน พยายามหลบเลี่ยงแสงแดดจัดๆ ขัดผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และหาครีมบำรุงตามสภาพผิว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มีผิวสวยสุขภาพดีแบบประหยัดและไม่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น

ความอยากสวยอยากหล่อนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา
แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกคนสวยหล่อกันอย่างมีสติด้วยนะครับ  (หมอชาวบ้าน)