Generality
วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน กระดูกอ่อน
http://doctor.or.th/article/detail/11204
กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน กระดูกอ่อน
ถ้าจะกล่าวถึงโรคที่เกี่ยวกับกระดูกแล้ว สิ่งที่พูดถึงกันมากคือ กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน และกระดูกอ่อน ซึ่งอย่าเหมารวมว่าเป็นโรคเดียวกันหรือมีการรักษาแบบเดียวกัน แต่ละอย่างก็มีลักษณะและการรักษาที่แตกต่างกันไป แต่กลับถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ประเภทเสริมกระดูกกันอย่างแพร่หลาย
ปัจจุบันพบว่ามีการให้ข้อมูลและแนะนำให้กินแคลเซียม วิตามินดี น้ำมันตับปลา ตลอดจนวิตามินและเกลือแร่อื่นๆ ทั้งในรูปของยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและสตรีวัยหมดประจำเดือนว่าจะช่วยเสริมกระดูก ซึ่งเป็นการแนะนำโดยไม่ได้แยกแยะว่าการกินสารอาหารเหล่านี้มีความเหมาะสมแค่ไหนกับโรคกระดูกชนิดใด
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ แพทย์หลายท่านยังนิยมให้ผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อกินแคลเซียมทั้งชนิดเม็ดและชนิดละลายน้ำก่อนดื่ม โดยอาจไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบตามโรคที่เป็นจริงๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่ได้ประโยชน์ แต่อาจทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เกิดอาการข้างเคียง และเกิดฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ของแคลเซียมได้
ผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านการใช้แคลเซียมหรืออาหารเสริมกระดูก แต่อยากนำเสนอในมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะอยากให้พิจารณาใช้กันอย่างรอบคอบและให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและตรงจุดตรงโรคมากกว่า
ดังนั้น จึงขออธิบายลักษณะของโรคกระดูกทั้ง ๓ แบบ คือ กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน และกระดูกอ่อน เพื่อให้เห็นความแตกต่างกัน ดังนี้
กระดูกเสื่อม
โรคกระดูกเสื่อม คือโรคที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนของข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ และข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนเหล่านี้คือน้ำและโปรตีน ที่จะทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทกและเสียดสี แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะเกิดการเสื่อมและสึกหรอ
เมื่อเสื่อมแล้วก็จะเกิดอาการปวดขัดตามข้อ ข้อโปนและผิดรูป มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหนัก อย่างชาวไร่ชาวนา พ่อค้า แม่ค้า และกรรมกร คนเหล่านี้เมื่อไปโรงพยาบาล (ส่วนใหญ่ไปเป็นประจำ เพราะโรคไม่หาย) ก็จะได้ยาแก้อักเสบ บรรเทาปวด ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ แคลเซียม รวมถึงกลูโคซามีน เป็นหลัก
เรียกว่าถ้าใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบิกราชการ หรือบริษัทได้ (ฟรี) ก็จะได้ยากลุ่มนี้กันทุกคน แล้วทราบกันหรือไม่ว่าห้ามกินยาลดกรดกับแคลเซียม เพราะจะไม่ดูดซึม อาจทำให้ท้องผูก และไม่เกิดประโยชน์อะไร กระดูกอ่อนเสื่อมนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแคลเซียม
การรักษาคือ ถ้าปวดมากก็ใช้ยาบรรเทาปวดหรือลดการอักเสบเป็นครั้งคราว ลดการใช้งานของข้อนั้นๆ บริหารข้อเพื่อสร้างความแข็งแรง รวมถึงอาจใช้ยาเสริมกระดูกพวกกลูโคซามีนช่วยได้บ้าง
กระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน หรือกระดูกโปร่งบาง บางครั้งเรียกว่ากระดูกผุ เป็นการเสื่อมของกระดูกแข็งที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยมีเนื้อเยื่อกระดูกและแคลเซียมลดลง ทำให้กระดูกทรุดลงและแตกหักง่าย มักพบในผู้สูงอายุและสตรีหลังหมดประจำเดือน
โรคนี้แหละที่เป็นจุดขายของแคลเซียมและอาหารเสริมต่างๆ ในทางการตลาดจะส่งเสริมการขายโดยการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้สูงอายุและสตรีสูงอายุเกือบทุกรายถ้าได้ตรวจก็จะพบว่ากระดูกบางกว่าปกติ แล้วก็จะได้แคลเซียมมา ซึ่งมักกำหนดให้กินในขนาดสูงๆ (ไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน) โดยลืมพิจารณาว่าผู้ป่วยนั้นได้แคลเซียมจากอาหารการกินมากน้อยเพียงใด แล้วแคลเซียมที่ให้มานั้นเป็นเกลือแคลเซียมชนิดใด เวลาแตกตัวแล้วจะให้แคลเซียมอิสระปริมาณเท่าใด และที่สำคัญคือถ้าได้มากไปจะเกิดผลเสียอย่างไร
แคลเซียมมีในอาหารหลายๆ ประเภท เช่น ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง นม หรือแม้กระทั่งผักใบเขียว ถ้าเทียบตามน้ำหนักพบว่า นมวัวมีแคลเซียมน้อยกว่ากุ้งแห้งเกือบ ๒๐ เท่า และน้อยกว่าผักคะน้า ๒ เท่า ดังนั้น ถ้ากินอาหารได้ตามปกติครบ ๕ หมู่ในปริมาณที่เพียงพอก็จะไม่ขาดสารอาหารใดๆ รวมถึงแคลเซียม
กระดูกอ่อน
โรคกระดูกประเภทสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือโรคกระดูกอ่อน เป็นลักษณะที่กระดูกขาดแคลเซียมโดยที่เนื้อเยื่อกระดูกปกติ ความแข็งแรงจึงลดลงแต่ยืดหยุ่นมากขึ้น มักพบในคนที่ขาดวิตามินดี เด็กช่วงอายุ ๖ เดือนถึง ๓ ขวบ
คนที่ขาดสารอาหารรุนแรง ผู้สูงอายุที่ขาดการเคลื่อนไหวและไม่ได้สัมผัสแสงแดด ผู้ป่วยโรคไตพิการ หรือผู้ที่มีต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ
โรคนี้แหละที่ถือว่าร่างกายขาดแคลเซียมอย่างแท้จริง และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย การให้ทั้งแคลเซียมและวิตามินดี ร่วมกับการแก้ไขที่ต้นเหตุ
เรื่องของโรคกระดูกประเภทต่างๆ ที่กล่าวมา คงพอจะแยกแยะได้บ้างว่า การใช้แคลเซียมหรือผลิตภัณฑ์เสริมกระดูกต่างๆ นั้นจำเป็นมากน้อยแค่ไหน และใช้อย่างไรเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน กระดูกอ่อน
ถ้าจะกล่าวถึงโรคที่เกี่ยวกับกระดูกแล้ว สิ่งที่พูดถึงกันมากคือ กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน และกระดูกอ่อน ซึ่งอย่าเหมารวมว่าเป็นโรคเดียวกันหรือมีการรักษาแบบเดียวกัน แต่ละอย่างก็มีลักษณะและการรักษาที่แตกต่างกันไป แต่กลับถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ประเภทเสริมกระดูกกันอย่างแพร่หลาย
ปัจจุบันพบว่ามีการให้ข้อมูลและแนะนำให้กินแคลเซียม วิตามินดี น้ำมันตับปลา ตลอดจนวิตามินและเกลือแร่อื่นๆ ทั้งในรูปของยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและสตรีวัยหมดประจำเดือนว่าจะช่วยเสริมกระดูก ซึ่งเป็นการแนะนำโดยไม่ได้แยกแยะว่าการกินสารอาหารเหล่านี้มีความเหมาะสมแค่ไหนกับโรคกระดูกชนิดใด
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ แพทย์หลายท่านยังนิยมให้ผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อกินแคลเซียมทั้งชนิดเม็ดและชนิดละลายน้ำก่อนดื่ม โดยอาจไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบตามโรคที่เป็นจริงๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่ได้ประโยชน์ แต่อาจทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เกิดอาการข้างเคียง และเกิดฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ของแคลเซียมได้
ผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านการใช้แคลเซียมหรืออาหารเสริมกระดูก แต่อยากนำเสนอในมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะอยากให้พิจารณาใช้กันอย่างรอบคอบและให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและตรงจุดตรงโรคมากกว่า
ดังนั้น จึงขออธิบายลักษณะของโรคกระดูกทั้ง ๓ แบบ คือ กระดูกเสื่อม กระดูกพรุน และกระดูกอ่อน เพื่อให้เห็นความแตกต่างกัน ดังนี้
กระดูกเสื่อม
โรคกระดูกเสื่อม คือโรคที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนของข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ และข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนเหล่านี้คือน้ำและโปรตีน ที่จะทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทกและเสียดสี แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะเกิดการเสื่อมและสึกหรอ
เมื่อเสื่อมแล้วก็จะเกิดอาการปวดขัดตามข้อ ข้อโปนและผิดรูป มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหนัก อย่างชาวไร่ชาวนา พ่อค้า แม่ค้า และกรรมกร คนเหล่านี้เมื่อไปโรงพยาบาล (ส่วนใหญ่ไปเป็นประจำ เพราะโรคไม่หาย) ก็จะได้ยาแก้อักเสบ บรรเทาปวด ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ แคลเซียม รวมถึงกลูโคซามีน เป็นหลัก
เรียกว่าถ้าใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบิกราชการ หรือบริษัทได้ (ฟรี) ก็จะได้ยากลุ่มนี้กันทุกคน แล้วทราบกันหรือไม่ว่าห้ามกินยาลดกรดกับแคลเซียม เพราะจะไม่ดูดซึม อาจทำให้ท้องผูก และไม่เกิดประโยชน์อะไร กระดูกอ่อนเสื่อมนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแคลเซียม
การรักษาคือ ถ้าปวดมากก็ใช้ยาบรรเทาปวดหรือลดการอักเสบเป็นครั้งคราว ลดการใช้งานของข้อนั้นๆ บริหารข้อเพื่อสร้างความแข็งแรง รวมถึงอาจใช้ยาเสริมกระดูกพวกกลูโคซามีนช่วยได้บ้าง
กระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน หรือกระดูกโปร่งบาง บางครั้งเรียกว่ากระดูกผุ เป็นการเสื่อมของกระดูกแข็งที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยมีเนื้อเยื่อกระดูกและแคลเซียมลดลง ทำให้กระดูกทรุดลงและแตกหักง่าย มักพบในผู้สูงอายุและสตรีหลังหมดประจำเดือน
โรคนี้แหละที่เป็นจุดขายของแคลเซียมและอาหารเสริมต่างๆ ในทางการตลาดจะส่งเสริมการขายโดยการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้สูงอายุและสตรีสูงอายุเกือบทุกรายถ้าได้ตรวจก็จะพบว่ากระดูกบางกว่าปกติ แล้วก็จะได้แคลเซียมมา ซึ่งมักกำหนดให้กินในขนาดสูงๆ (ไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน) โดยลืมพิจารณาว่าผู้ป่วยนั้นได้แคลเซียมจากอาหารการกินมากน้อยเพียงใด แล้วแคลเซียมที่ให้มานั้นเป็นเกลือแคลเซียมชนิดใด เวลาแตกตัวแล้วจะให้แคลเซียมอิสระปริมาณเท่าใด และที่สำคัญคือถ้าได้มากไปจะเกิดผลเสียอย่างไร
แคลเซียมมีในอาหารหลายๆ ประเภท เช่น ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง นม หรือแม้กระทั่งผักใบเขียว ถ้าเทียบตามน้ำหนักพบว่า นมวัวมีแคลเซียมน้อยกว่ากุ้งแห้งเกือบ ๒๐ เท่า และน้อยกว่าผักคะน้า ๒ เท่า ดังนั้น ถ้ากินอาหารได้ตามปกติครบ ๕ หมู่ในปริมาณที่เพียงพอก็จะไม่ขาดสารอาหารใดๆ รวมถึงแคลเซียม
กระดูกอ่อน
โรคกระดูกประเภทสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือโรคกระดูกอ่อน เป็นลักษณะที่กระดูกขาดแคลเซียมโดยที่เนื้อเยื่อกระดูกปกติ ความแข็งแรงจึงลดลงแต่ยืดหยุ่นมากขึ้น มักพบในคนที่ขาดวิตามินดี เด็กช่วงอายุ ๖ เดือนถึง ๓ ขวบ
คนที่ขาดสารอาหารรุนแรง ผู้สูงอายุที่ขาดการเคลื่อนไหวและไม่ได้สัมผัสแสงแดด ผู้ป่วยโรคไตพิการ หรือผู้ที่มีต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ
โรคนี้แหละที่ถือว่าร่างกายขาดแคลเซียมอย่างแท้จริง และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย การให้ทั้งแคลเซียมและวิตามินดี ร่วมกับการแก้ไขที่ต้นเหตุ
เรื่องของโรคกระดูกประเภทต่างๆ ที่กล่าวมา คงพอจะแยกแยะได้บ้างว่า การใช้แคลเซียมหรือผลิตภัณฑ์เสริมกระดูกต่างๆ นั้นจำเป็นมากน้อยแค่ไหน และใช้อย่างไรเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
กระดูกพรุนป้องกันได้อย่างไร
http://doctor.or.th/article/detail/1930
คอลัมน์นี้นำเสนอทิศทางการวิจัย และผลงานการวิจัยปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในบ้านเรา เพื่อให้ผู้อ่านรู้เท่าทันปัญหาและนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
ทั้งนี้ โดยความเอื้อเฟื้อจาก "สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย" (สกว.) และ "มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ"
กระดูกและฟันจะแข็งแรงได้อย่างไร
ก่อนที่เราจะทำความเข้าใจหรือรู้ว่าจะทำให้กระดูก และฟันแข็งแรงได้อย่างไร เราคงจะต้องมีความรู้พื้นๆก่อน ถ้าเป็นงานวิจัยก็ต้องบอกว่า เป็นงานวิจัยพื้นฐาน ซึ่งได้ทำกันมามากมายแล้ว จนรู้ว่าส่วนประกอบของกระดูกมี อะไรบ้าง และกลไกของร่างกายในการสร้างกระดูกเป็น อย่างไร
ในวิชาสุขศึกษาเราเคยได้ยินว่า กระดูกจะแข็งแรง ต้องกินอาหารที่มีแคลเซียม กระดูกจึงเป็นแหล่งสะสมแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกาย ประมาณร้อยละ ๙๙ ของแคลเซียมทั้งหมดในร่างกายอยู่ที่กระดูกและฟัน ตัวกระดูกนั้นประกอบด้วยโครงสร้าง ๒ ส่วน ส่วนแรกคือ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งเป็นโปรตีน อีก ส่วนหนึ่งคือแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญคือแคลเซียมและฟอสฟอรัสนี่แหละที่ทำให้กระดูกแข็งแรง แคลเซียมที่ไป สะสมและทำให้กระดูกแข็งนี้ ไม่ใช่ว่าจะสะสมไปเรื่อยๆ เนื่องจากกระดูกเป็นเนื้อเยื่อที่มีชีวิต มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา แคลเซียมจึงมีการเคลื่อนที่เข้าและออกจาก กระดูก เพื่อรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ ปกติ และสร้างกระดูกใหม่ทดแทนกระดูกเก่า ปริมาณ มวลกระดูกจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ดังภาพนี้
ภาพนี้อธิบายได้ว่าช่วงอายุใดจะมีปริมาณมวลกระดูกเป็นอย่างไร จะเห็นได้ว่า ช่วงวัยทารกและวัยหนุ่มสาว อัตราการสร้างกระดูกจะมากกว่าการสลายกระดูก ผลก็คือมวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงสุด ช่วงอายุระหว่าง ๒๐-๓๕ ปี ผู้หญิงจะมีมวลกระดูกค่อน ข้างน้อยกว่าของผู้ชายในวัยเดียวกัน แต่การวิจัยในระยะหลังพบว่าปริมาณมวลกระดูกสูงสุดอาจเกิดก่อนอายุ ๒๐ ได้ แปลว่าถ้าร่างกายสามารถสะสมมวลกระดูก ได้มากเท่าใดในช่วงอายุยังน้อยๆ ต่อไปเมื่อมีอายุมากขึ้น แม้ว่าจะมีการสูญเสียมวลกระดูกจากการสลาย ก็ยังมีมวลกระดูกเหลืออยู่มากกว่า และเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน น้อยกว่าผู้ที่มีมวลกระดูกสะสมไว้น้อย
ทีนี้ก็มาถึงคำว่าโรคกระดูกพรุน จะเหมือนหรือต่างจากโรคกระดูกอ่อนหรือเปล่า โรคกระดูกอ่อนเกิดจากการได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอเป็นเวลา นานตั้งแต่วัยเด็กและหนุ่มสาว มีผลต่อการเสริมสร้างกระดูก ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ กระดูกจะบิดงอและหักง่าย แต่ถ้าการขาดแคลเซียมไม่รุนแรงแต่ เรื้อรังมานาน ปริมาณมวลกระดูกจะต่ำกว่าที่ควร ทำให้ ร่างกายต้องดึงแคลเซียมที่สะสมในกระดูกออกมาใช้ มวล กระดูกก็จะค่อยๆ ร่อยหรอบางลง เขาเรียกว่าภาวะโรค กระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนนี้ถือว่าเป็นภัยเงียบ เช่นปวดบริเวณกระดูกสันหลัง หรือกระดูกหัก ทั้งนี้เพราะแร่ธาตุในกระดูกลดลง และมีความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างของกระดูก ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย บริเวณที่พบว่าหักบ่อยได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูก สะโพก และกระดูกสันหลัง โรคนี้พบบ่อยในหญิงวัยหมด ประจำเดือน และผู้สูงอายุ ถึงตรงนี้ก็เกิดคำถามว่าแล้ว ทำไมผู้หญิงจึงเป็นโรคนี้ได้มากกว่าผู้ชาย คำตอบก็คือ ผู้หญิงมีฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อขาดฮอร์โมนนี้ตอนหมดประจำเดือนแคลเซียมจะสลายออกจากกระดูกมาก กว่าปกติ การศึกษาอุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักที่ จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าสูงถึง ๑๖๒ ครั้งต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คนที่มีอายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไป
เราจะทราบได้อย่างไรว่า ระดับแคลเซียมแค่ไหน พอ เราบริโภคแคลเซียมเพียงพอหรือไม่ จะตรวจได้อย่างไร ตรวจจากเลือดได้ไหม คำตอบก็คือไม่ได้ เพราะ ร่างกายจะพยายามรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้ปกติอยู่เสมอ โดยดึงมาจากกระดูก อาการตะคริวหรือชาที่ปลายมือปลายเท้า เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อระดับแคลเซียมในเลือดต่ำเกินไป และถ้าลดลงมากๆ อาจถึง ขั้นชัก และเสียชีวิตได้ เวลาเรากินอาหารที่มีแคลเซียม เข้าไป วิตามินดีเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ของลำไส้เล็กสร้างโปรตีน เพื่อทำหน้าที่จับแคลเซียมส่งผ่านเข้าสู่กระแสเลือดแคลเซียมก็จะถูกดูดซึมที่บริเวณลำไส้เล็กเป็นส่วนใหญ่
การบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอกับความต้องการ ของร่างกายตลอดชีวิต โดยเฉพาะการพยายามสร้างมวลกระดูกให้มากที่สุดในช่วงวัยเด็ก จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคกระดูกพรุน วัยทารกและวัยรุ่นมีความต้องการแคลเซียมมากกว่ากลุ่มอายุอื่น เพราะกำลังเจริญเติบโต สำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นม ลูกก็มีความต้องการ แคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วย ผลงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ผลตรงกันว่าเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณ แร่ธาตุในกระดูก และความหนาแน่นกระดูกได้
ถ้าอยากมีกระดูกที่แข็งแรงต้อง ทำอย่างไรบ้าง กระดูกที่แข็งแรงไม่ใช่เพราะแคลเซียมเท่านั้น กระดูกต้องการสารอาหารหลายชนิด รวม ทั้งโปรตีน ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ฟลูออไรด์ วิตามินซี วิตามินเคเป็นต้น ควรเลือกบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูงตาม ธรรมชาติ เช่น นม เต้าหู้ ฯลฯ ส่วนนม เสริมแคลเซียม หรือยาเม็ดเสริมแคลเซียม นั้น ราคาก็แพง สารอาหารอื่นก็ไม่มี แล้ว เราจะไปเสียเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมไปทำไม ในเมื่อเรามีอาหารตามธรรมชาติ ให้เลือกมากมาย
ในโอกาสต่อๆ ไป มาดูว่าผลงานวิจัย แนะนำอาหารไทยอะไรบ้างที่มีปริมาณแคลเซียมสู
คอลัมน์นี้นำเสนอทิศทางการวิจัย และผลงานการวิจัยปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในบ้านเรา เพื่อให้ผู้อ่านรู้เท่าทันปัญหาและนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
ทั้งนี้ โดยความเอื้อเฟื้อจาก "สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย" (สกว.) และ "มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ"
กระดูกและฟันจะแข็งแรงได้อย่างไร
ก่อนที่เราจะทำความเข้าใจหรือรู้ว่าจะทำให้กระดูก และฟันแข็งแรงได้อย่างไร เราคงจะต้องมีความรู้พื้นๆก่อน ถ้าเป็นงานวิจัยก็ต้องบอกว่า เป็นงานวิจัยพื้นฐาน ซึ่งได้ทำกันมามากมายแล้ว จนรู้ว่าส่วนประกอบของกระดูกมี อะไรบ้าง และกลไกของร่างกายในการสร้างกระดูกเป็น อย่างไร
ในวิชาสุขศึกษาเราเคยได้ยินว่า กระดูกจะแข็งแรง ต้องกินอาหารที่มีแคลเซียม กระดูกจึงเป็นแหล่งสะสมแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกาย ประมาณร้อยละ ๙๙ ของแคลเซียมทั้งหมดในร่างกายอยู่ที่กระดูกและฟัน ตัวกระดูกนั้นประกอบด้วยโครงสร้าง ๒ ส่วน ส่วนแรกคือ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งเป็นโปรตีน อีก ส่วนหนึ่งคือแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญคือแคลเซียมและฟอสฟอรัสนี่แหละที่ทำให้กระดูกแข็งแรง แคลเซียมที่ไป สะสมและทำให้กระดูกแข็งนี้ ไม่ใช่ว่าจะสะสมไปเรื่อยๆ เนื่องจากกระดูกเป็นเนื้อเยื่อที่มีชีวิต มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา แคลเซียมจึงมีการเคลื่อนที่เข้าและออกจาก กระดูก เพื่อรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ ปกติ และสร้างกระดูกใหม่ทดแทนกระดูกเก่า ปริมาณ มวลกระดูกจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ดังภาพนี้

ภาพนี้อธิบายได้ว่าช่วงอายุใดจะมีปริมาณมวลกระดูกเป็นอย่างไร จะเห็นได้ว่า ช่วงวัยทารกและวัยหนุ่มสาว อัตราการสร้างกระดูกจะมากกว่าการสลายกระดูก ผลก็คือมวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงสุด ช่วงอายุระหว่าง ๒๐-๓๕ ปี ผู้หญิงจะมีมวลกระดูกค่อน ข้างน้อยกว่าของผู้ชายในวัยเดียวกัน แต่การวิจัยในระยะหลังพบว่าปริมาณมวลกระดูกสูงสุดอาจเกิดก่อนอายุ ๒๐ ได้ แปลว่าถ้าร่างกายสามารถสะสมมวลกระดูก ได้มากเท่าใดในช่วงอายุยังน้อยๆ ต่อไปเมื่อมีอายุมากขึ้น แม้ว่าจะมีการสูญเสียมวลกระดูกจากการสลาย ก็ยังมีมวลกระดูกเหลืออยู่มากกว่า และเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน น้อยกว่าผู้ที่มีมวลกระดูกสะสมไว้น้อย
ทีนี้ก็มาถึงคำว่าโรคกระดูกพรุน จะเหมือนหรือต่างจากโรคกระดูกอ่อนหรือเปล่า โรคกระดูกอ่อนเกิดจากการได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอเป็นเวลา นานตั้งแต่วัยเด็กและหนุ่มสาว มีผลต่อการเสริมสร้างกระดูก ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ กระดูกจะบิดงอและหักง่าย แต่ถ้าการขาดแคลเซียมไม่รุนแรงแต่ เรื้อรังมานาน ปริมาณมวลกระดูกจะต่ำกว่าที่ควร ทำให้ ร่างกายต้องดึงแคลเซียมที่สะสมในกระดูกออกมาใช้ มวล กระดูกก็จะค่อยๆ ร่อยหรอบางลง เขาเรียกว่าภาวะโรค กระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนนี้ถือว่าเป็นภัยเงียบ เช่นปวดบริเวณกระดูกสันหลัง หรือกระดูกหัก ทั้งนี้เพราะแร่ธาตุในกระดูกลดลง และมีความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างของกระดูก ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย บริเวณที่พบว่าหักบ่อยได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูก สะโพก และกระดูกสันหลัง โรคนี้พบบ่อยในหญิงวัยหมด ประจำเดือน และผู้สูงอายุ ถึงตรงนี้ก็เกิดคำถามว่าแล้ว ทำไมผู้หญิงจึงเป็นโรคนี้ได้มากกว่าผู้ชาย คำตอบก็คือ ผู้หญิงมีฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อขาดฮอร์โมนนี้ตอนหมดประจำเดือนแคลเซียมจะสลายออกจากกระดูกมาก กว่าปกติ การศึกษาอุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักที่ จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าสูงถึง ๑๖๒ ครั้งต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คนที่มีอายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไป
เราจะทราบได้อย่างไรว่า ระดับแคลเซียมแค่ไหน พอ เราบริโภคแคลเซียมเพียงพอหรือไม่ จะตรวจได้อย่างไร ตรวจจากเลือดได้ไหม คำตอบก็คือไม่ได้ เพราะ ร่างกายจะพยายามรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้ปกติอยู่เสมอ โดยดึงมาจากกระดูก อาการตะคริวหรือชาที่ปลายมือปลายเท้า เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อระดับแคลเซียมในเลือดต่ำเกินไป และถ้าลดลงมากๆ อาจถึง ขั้นชัก และเสียชีวิตได้ เวลาเรากินอาหารที่มีแคลเซียม เข้าไป วิตามินดีเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ของลำไส้เล็กสร้างโปรตีน เพื่อทำหน้าที่จับแคลเซียมส่งผ่านเข้าสู่กระแสเลือดแคลเซียมก็จะถูกดูดซึมที่บริเวณลำไส้เล็กเป็นส่วนใหญ่
การบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอกับความต้องการ ของร่างกายตลอดชีวิต โดยเฉพาะการพยายามสร้างมวลกระดูกให้มากที่สุดในช่วงวัยเด็ก จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคกระดูกพรุน วัยทารกและวัยรุ่นมีความต้องการแคลเซียมมากกว่ากลุ่มอายุอื่น เพราะกำลังเจริญเติบโต สำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นม ลูกก็มีความต้องการ แคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วย ผลงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ผลตรงกันว่าเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณ แร่ธาตุในกระดูก และความหนาแน่นกระดูกได้
ถ้าอยากมีกระดูกที่แข็งแรงต้อง ทำอย่างไรบ้าง กระดูกที่แข็งแรงไม่ใช่เพราะแคลเซียมเท่านั้น กระดูกต้องการสารอาหารหลายชนิด รวม ทั้งโปรตีน ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ฟลูออไรด์ วิตามินซี วิตามินเคเป็นต้น ควรเลือกบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูงตาม ธรรมชาติ เช่น นม เต้าหู้ ฯลฯ ส่วนนม เสริมแคลเซียม หรือยาเม็ดเสริมแคลเซียม นั้น ราคาก็แพง สารอาหารอื่นก็ไม่มี แล้ว เราจะไปเสียเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมไปทำไม ในเมื่อเรามีอาหารตามธรรมชาติ ให้เลือกมากมาย
ในโอกาสต่อๆ ไป มาดูว่าผลงานวิจัย แนะนำอาหารไทยอะไรบ้างที่มีปริมาณแคลเซียมสู
รู้จักแคลเซี่ยมอย่างประโยชน์สูง ประโยชนฺสุด
http://doctor.or.th/article/detail/2942
หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่งโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวเองว่า ใช้เสีมความสูง ออกรายการโทรทัศน์บรรดาผู้ปกครองบ้าง เด็กนีกเรียนบ้าง ก็ออกมาถามหาซื้อกันจ้าละหวั่น ครู-อาจารย์บางโรงเรียนที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็เลยง่วนกับการรับซื้อใบสั่งซื้อจากลูกศิษย์กันยกใหญ่ จึงเกิดคำถามเป็นข้อสงสัยขึ้นมาหลายๆข้อ ดังนี้
๑. ผู้คนเขาคิดเรื่องความสูงกันอย่างไร? "แคลเซียม" มีลต่อกระดูกอย่างไร?เป็นที่เข้าใจกันดีว่าแคลเซียมมีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก แต่คนส่วนใหญ่เห็น "ภาพ" การเจริญของกระดูกในมิติของความสูงอย่างเดียว จริงๆแล้ว กระดูกมีการเจริญตั้งแต่ระยะฟีตัส (อยู่ในครรภ์มารดา) ทารก และเรื่อยไปจนถึงอายุประมาณ ๒๕-๓๐ ปี จากนั้นจะมีการเสริมความแข็งแรงของกระดูก จรถึงระยะมวลกระดูกสูงสุด (Peck Bone Mass) ที่อายุ ๓๕ ปี หลังจากนั้น มวลกระดูกจะลดลงเรื่อยๆตามอายุ สำหรับผู้หญิงมวลกระดูกจะลดลงมากในช่วงหลังหมดประจำเดือน
"มวลกระดูก" หมายถึง ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกที่ประกอบไปด้วยโครงสร้างหลักและแร่ธาตุต่างๆที่เข้ามาเสริม จึงมีทั้งมิติของความหนา ความใหญ่ มิใช่ความสูง(ยาว) อย่างเดียว สุขภาพกระดูกที่ดีจะหมายถึงความหนาแน่น ซึ่งตรงข้ามกับ ความพรุน ความเปราะบาง หรือความกร่อน มากกว่าจะมุ่งหมายถึง ความสูง(ความยาว)
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของกระดูกในแต่ละช่วงชีวิตมี ๔ ประการคือ พันธุกรรม น้ำหนักที่ลดลง โภชนาการ และฮอร์โมน ในข่วงต้นของชีวิต กระดูกเจริญขึ้นภายใต้อิทธิพลที่สำคัญคือ พันธุกรรม ส่วนโภชนาการมีความสำคัญรองลงมา "อิทธิพลของอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมจะอยู่ใต้อิทธิพลของพันธุกรรม" จึงเป็นเหตุผลที่ระดับมวลกระดูกสูงสุดของคนแต่ละเผ่าพันธุ์มีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามในระยะที่มวลกระดูกยังไม่ถึงค่าสูงสุด การบริโภคแคลเซียมมีความสำคัญต่อการสะสมมวลกระดูก หากบริโภคแคลเซียมไม่เพียงพอ ระดับมวลกระดูกสูงสุดจะต่ำกว่าระดับที่ควรเป็นไปได้ตามศักยภาพ และจะไปมีผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่มีผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตในช่วงสูงอายุ คือภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่มีความหนาแน่นของกระดูกลดน้อยลง จนทำให้กระดูกบางและเปราะ จึงมีโอกาสแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะตรงข้อมือ สะโพก ทำให้หลังค่อม ตัวเตี้ยลง
การดื่มนมตั้งแต่วัยเด็กหรือการให้แคลเซียมเสริมในรูปของยามีผลเพิ่มมวลกระดูกได้ จึงน่าจะมีความสำคัญในการป้องกันภาวะกระดูกพรุน มากกว่าเรื่องเพิ่มความสูงเสียอีก
การเจริญของกระดูกยังต้องการสารอาหาร แร่ธาตุ รวมทั้งวิตามินอื่นๆอีก ได้แก่ โปรตีน(โดยเฉพาะกรดอะมิโนที่ชื่อ อาร์จีนิน) ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินเอ วิตามินดี เป็นต้น
๒. ค่ามาตรฐานส่วนสูงของเด็กไทยเป็นเท่าไหร่?จากการสำรวจครั้งล่าสุดของกองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ พบว่าเด็กไทยมีส่วนสูงมากกว่าตอนสำรวจเมื่อปี ๒๕๓๐ เราสามารถเทียบจากตารางได้ ดังนี้
หากเรามีส่วนสูงไม่ต่ำกว่าค่าดังกล่าว เราก็น่าจะพอใจ และไม่น่าจะเป็นปัญหาใดๆ เพราะความสูงมากกว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าจะมีสุขภาพดีหรือไม่ หากขึ้นอยู่กับพฤติกรรมสุขภาพมากกว่า
๓. อาหารของคนไทยขาดแคลนแคลเซียมหรือ?
เราได้รับแคลเซียมจากแหล่งอาหารต่างๆอยู่แล้ว แตกต่างกันตรงที่ว่าแหล่งอาหารชนิดใด ร่างกายสามารถดูดแคลเซียมไปใช้ได้ดีเท่าใด
๔. หากได้รับแคลเซียมมากเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น?ขณะนี้ยังอยู่ระกว่างรวบรวมข้อมูลถึงผลข้างเคียงของการได้แคลเซียมมากเกินไป (มากกว่าวันละ ๒,๐๐๐ มิลลิกรัม) ว่ามีผลอย่างไร ไม่ว่าจะทำให้เกิดนิ่วในไต หรือมีสารสะสมของแคลเซียมในเนื้อเยื่อต่างๆที่มิใช่กระดูกและฟัน รวมทั้งการรบกวนหรือยับยั้งการใช้แร่ธาตุอื่นๆที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น สังกะสี และเหล็ก เป็นต้น หรืออาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
คำตอบและข้อเสนอแนะของคำถามทั้ง ๔ ข้อ คงพอจะให้ข้อคิดและความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประโยชน์ที่แท้จริงของแคลเซียมบ้าง เพื่อใช้วิเคราะห์พิจารณารู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา และสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ประหยัดสุด ในยุคไอเอ็มเอฟนะครับ
หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่งโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวเองว่า ใช้เสีมความสูง ออกรายการโทรทัศน์บรรดาผู้ปกครองบ้าง เด็กนีกเรียนบ้าง ก็ออกมาถามหาซื้อกันจ้าละหวั่น ครู-อาจารย์บางโรงเรียนที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็เลยง่วนกับการรับซื้อใบสั่งซื้อจากลูกศิษย์กันยกใหญ่ จึงเกิดคำถามเป็นข้อสงสัยขึ้นมาหลายๆข้อ ดังนี้
๑. ผู้คนเขาคิดเรื่องความสูงกันอย่างไร? "แคลเซียม" มีลต่อกระดูกอย่างไร?เป็นที่เข้าใจกันดีว่าแคลเซียมมีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก แต่คนส่วนใหญ่เห็น "ภาพ" การเจริญของกระดูกในมิติของความสูงอย่างเดียว จริงๆแล้ว กระดูกมีการเจริญตั้งแต่ระยะฟีตัส (อยู่ในครรภ์มารดา) ทารก และเรื่อยไปจนถึงอายุประมาณ ๒๕-๓๐ ปี จากนั้นจะมีการเสริมความแข็งแรงของกระดูก จรถึงระยะมวลกระดูกสูงสุด (Peck Bone Mass) ที่อายุ ๓๕ ปี หลังจากนั้น มวลกระดูกจะลดลงเรื่อยๆตามอายุ สำหรับผู้หญิงมวลกระดูกจะลดลงมากในช่วงหลังหมดประจำเดือน
"มวลกระดูก" หมายถึง ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกที่ประกอบไปด้วยโครงสร้างหลักและแร่ธาตุต่างๆที่เข้ามาเสริม จึงมีทั้งมิติของความหนา ความใหญ่ มิใช่ความสูง(ยาว) อย่างเดียว สุขภาพกระดูกที่ดีจะหมายถึงความหนาแน่น ซึ่งตรงข้ามกับ ความพรุน ความเปราะบาง หรือความกร่อน มากกว่าจะมุ่งหมายถึง ความสูง(ความยาว)
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของกระดูกในแต่ละช่วงชีวิตมี ๔ ประการคือ พันธุกรรม น้ำหนักที่ลดลง โภชนาการ และฮอร์โมน ในข่วงต้นของชีวิต กระดูกเจริญขึ้นภายใต้อิทธิพลที่สำคัญคือ พันธุกรรม ส่วนโภชนาการมีความสำคัญรองลงมา "อิทธิพลของอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมจะอยู่ใต้อิทธิพลของพันธุกรรม" จึงเป็นเหตุผลที่ระดับมวลกระดูกสูงสุดของคนแต่ละเผ่าพันธุ์มีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามในระยะที่มวลกระดูกยังไม่ถึงค่าสูงสุด การบริโภคแคลเซียมมีความสำคัญต่อการสะสมมวลกระดูก หากบริโภคแคลเซียมไม่เพียงพอ ระดับมวลกระดูกสูงสุดจะต่ำกว่าระดับที่ควรเป็นไปได้ตามศักยภาพ และจะไปมีผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่มีผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตในช่วงสูงอายุ คือภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่มีความหนาแน่นของกระดูกลดน้อยลง จนทำให้กระดูกบางและเปราะ จึงมีโอกาสแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะตรงข้อมือ สะโพก ทำให้หลังค่อม ตัวเตี้ยลง
การดื่มนมตั้งแต่วัยเด็กหรือการให้แคลเซียมเสริมในรูปของยามีผลเพิ่มมวลกระดูกได้ จึงน่าจะมีความสำคัญในการป้องกันภาวะกระดูกพรุน มากกว่าเรื่องเพิ่มความสูงเสียอีก
การเจริญของกระดูกยังต้องการสารอาหาร แร่ธาตุ รวมทั้งวิตามินอื่นๆอีก ได้แก่ โปรตีน(โดยเฉพาะกรดอะมิโนที่ชื่อ อาร์จีนิน) ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินเอ วิตามินดี เป็นต้น
๒. ค่ามาตรฐานส่วนสูงของเด็กไทยเป็นเท่าไหร่?จากการสำรวจครั้งล่าสุดของกองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ พบว่าเด็กไทยมีส่วนสูงมากกว่าตอนสำรวจเมื่อปี ๒๕๓๐ เราสามารถเทียบจากตารางได้ ดังนี้
อายุ | มาตรฐานส่วนสูง (เซนติเมตร) | มาตรฐานน้ำหนัก (กิโลกรัม) |
ชาย หญิง | ชาย หญิง | |
ทารก ๐-๕ เดือน ๖-๘ เดือน ๙-๑๑ เดือน เด็ก ๑-๓ ปี ๔-๖ ปี ๑๐-๑๒ ปี ๑๓-๑๕ ปี ๑๖-๑๙ ปี | ๕๑.๘-๖๖.๐ ๕๑.๔-๖๔.๒ ๖๘.๐-๗๑.๒ ๖๖.๒-๖๙.๔ ๗๒.๖-๙๖.๐ ๗๑.๐-๙๕.๒ ๗๖.๔-๙๖.๐ ๗๔.๒-๙๕.๒ ๑๐๓.๔-๑๑๔.๖ ๑๐๒.๔-๑๑๔.๐ ๑๑๙.๖-๑๒๘.๔ ๑๑๙.๓-๑๒๙.๖ ๑๕๓.๘-๑๖๔.๘ ๑๕๓.๕-๑๕๗.๓ ๑๖๗.๗-๑๖๙.๕ ๑๕๗.๕-๑๕๗.๖ | ๕.๘ ๕.๘ ๗.๖ ๗.๖ ๘.๔ ๘.๔ ๑๑.๗ ๑๑.๗ ๑๖.๕ ๑๖.๕ ๒๑.๙ ๒๑.๙ ๒๙.๓ ๓๐.๗ ๕๓.๙ ๔๘.๑ |
หากเรามีส่วนสูงไม่ต่ำกว่าค่าดังกล่าว เราก็น่าจะพอใจ และไม่น่าจะเป็นปัญหาใดๆ เพราะความสูงมากกว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าจะมีสุขภาพดีหรือไม่ หากขึ้นอยู่กับพฤติกรรมสุขภาพมากกว่า
๓. อาหารของคนไทยขาดแคลนแคลเซียมหรือ?
ชนิดอาหาร | ปริมาณ แคลเซียม*มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐ กรัม | ปริมาณ อาหาร** ที่บริโภคต่อครั้ง | ปริมาณ แคลเซียมที่ได้รับ มิลลิกรัมต่อครั้ง |
กุ้งแห้ง กะปิ งาดำคั่ว กุ้งฝอย ถั่วแดงหลวง, ดิบ ผักโขม เต้าหู้ขาว ผักคะน้า ปลาไส้ตัน งาขาว, คั่ว นมสด | ๒,๓๐๕ ๑,๕๖๕ ๑,๔๕๒ ๑,๓๓๙ ๔๑๕ ๓๔๑ ๒๕๐ ๒๔๕ ๒๑๘ ๙๐ ๑๑๘ | ๑ ช้อนโต๊ะ (๖ กรัม) ๑ ช้อนชา (๕ กรัม) ๑ ช้อนชา (๓ กรัม) ๒ ช้อนโต๊ะ (๑๔ กรัม) ๓ ช้อนโต๊ะ (๓๐ กรัม) ๕ ช้อนโต๊ะ (๒๕ กรัม) ครึ่งหลอด (๙๕ กรัม) ๕ ช้อนโต๊ะ (๔๕ กรัม) ๕ ช้อนโต๊ะ (๒๕ กรัม) ๑ ช้อนชา (๓ กรัม) ๑ แก้ว (๒๕๐ มิลลิลิตร) | ๑๓๘ ๗๘ ๔๓ ๑๘๗ ๑๒๔ ๘๕ ๒๓๗ ๑๑๐ ๕๔ ๓ ๒๙๕ |
เราได้รับแคลเซียมจากแหล่งอาหารต่างๆอยู่แล้ว แตกต่างกันตรงที่ว่าแหล่งอาหารชนิดใด ร่างกายสามารถดูดแคลเซียมไปใช้ได้ดีเท่าใด
๔. หากได้รับแคลเซียมมากเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น?ขณะนี้ยังอยู่ระกว่างรวบรวมข้อมูลถึงผลข้างเคียงของการได้แคลเซียมมากเกินไป (มากกว่าวันละ ๒,๐๐๐ มิลลิกรัม) ว่ามีผลอย่างไร ไม่ว่าจะทำให้เกิดนิ่วในไต หรือมีสารสะสมของแคลเซียมในเนื้อเยื่อต่างๆที่มิใช่กระดูกและฟัน รวมทั้งการรบกวนหรือยับยั้งการใช้แร่ธาตุอื่นๆที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น สังกะสี และเหล็ก เป็นต้น หรืออาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
อายุ | มิลลิกรัม |
ทารก ๓-๕ เดือน ๖-๘ เดือน ๙-๑๑ เดือน เด็ก ๑-๑๐ ปี ๑๑-๒๔ ปี ผู้ใหญ่ ๒๕ ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร หญิงวัยหมดระดู | ๓๖๐ ๔๒๐ ๔๘๐ ๘๐๐ ๑,๒๐๐ ๘๐๐ ๑,๒๐๐ ๑,๐๐๐-๑,๕๐๐ |
คำตอบและข้อเสนอแนะของคำถามทั้ง ๔ ข้อ คงพอจะให้ข้อคิดและความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประโยชน์ที่แท้จริงของแคลเซียมบ้าง เพื่อใช้วิเคราะห์พิจารณารู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา และสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ประหยัดสุด ในยุคไอเอ็มเอฟนะครับ
นมถั่วเหลือง
http://doctor.or.th/article/detail/10741
นมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ราคาถูก พบเห็นได้ตามร้านค้าทั่วไปทั้งเช้าและค่ำ สามารถทำเองได้ไม่ยาก
นมถั่วเหลืองที่เตรียมจากถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 9-10 ส่วน จะมีโปรตีนใกล้เคียงนมวัว (5-6 กรัม ต่อ 200 มิลลิลิตร)
ไขมันจากนมถั่วเหลืองเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ขณะที่ไขมันที่ได้รับจากนมวัวเป็นไขมันอิ่มตัว
สารพฤกษเคมีในนมถั่วเหลืองสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้นมถั่วเหลืองยังมีไฟโทเอสโทรเจน สารคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยลดอาการผิดปกติของหญิงวัยหมดประจำเดือนได้
ถึงแม้ว่านมถั่วเหลืองจะดีกว่านมวัวในด้านของไขมัน แต่มีข้อด้อยกว่านมวัวในเรื่องของแคลเซียม นมถั่วเหลืองมีปริมาณแคลเซียมเพียง 1 ใน 5 ของนมวัวเท่านั้น
จากข้อจำกัดของนมถั่วเหลืองในเรื่องของแคลเซียม สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อเสริมแคลเซียมในนมถั่วเหลืองให้มีปริมาณแคลเซียมใกล้เคียงนมวัว และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสู่ชุมชน จังหวัดลำปาง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ณ ปัจจุบันนี้ยังคงผลิตจำหน่ายอยู่
แหล่งแคลเซียมที่ใช้เสริมคือไตรแคลเซียมฟอสเฟต เป็นสารเสริมอาหารที่ปลอดภัยได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา
ไตรแคลเซียมฟอสเฟตมีสัดส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสประมาณ 1 ต่อ 1 เหมาะกับการดูดซึมแคลเซียม แต่มีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำ ดังนั้น นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมสูตรนี้ของแท้จะเห็นตะกอนเมื่อวางตั้งไว้ จึงต้องเขย่าก่อนดื่ม
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งของแคลเซียมที่สามารถละลายน้ำได้ดี เช่น แคลเซียมแล็กโทกลูโคเนต แต่ต้นทุนการผลิตจะสูงกว่ามาก สำหรับต้นทุนการเสริมไตรแคลเซียมฟอสเฟตนี้เพียง 1 บาท ต่อนมถั่วเหลือง 1 ลิตร
ถ้าดื่มนมถั่วเหลืองที่ไม่ได้เสริมแคลเซียม ควรดื่มนมวัวหรือกินอาหารที่มีแคลเซียมเพิ่มเติมด้วย เช่น ปลาทอดกรอบ (สามารถกินได้ทั้งกระดูก) ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ใบมะรุม ใบยอ ใบขี้เหล็ก ใบบัวบก เป็นต้น เพื่อช่วยให้ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และสิ่งสำคัญยิ่งกว่าปริมาณแคลเซียมคือ ควรออกกำลังควบคู่กับการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์จึงจะได้สุขภาพที่แข็งแรง
นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมที่ดื่มเข้าไปเมื่อผ่านไปถึงกระเพาะ ซึ่งมีภาวะเป็นกรด เกลือแคลเซียมจะละลายและแตกตัว ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก เข้าสู่กระแสเลือด และนำไปใช้ในร่างกาย
เกลือแคลเซียมที่ไม่ละลายหรือดูดซึมไม่หมด จะขับออกมากับกากอาหารเป็นอุจจาระ ดังนั้น ผงตะกอนของเกลือแคลเซียมจะไม่สามารถผ่านเข้าไปที่ไต ในรูปของตะกอนได้เลย ถ้าได้รับแคลเซียมเกินความต้องการร่างกายจะมีกระบวนการมาควบคุมให้ลดการดูดซึมลง แคลเซียมที่เติมในนมถั่วเหลืองตามสัดส่วนที่กำหนดให้ มีปริมาณใกล้เคียงกับนมวัว
การดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมเป็นประจำวันละ 1-2 แก้ว จะได้รับแคลเซียมประมาณ 290-580 มิลลิลิตร หรือประมาณร้อยละ 30-60 ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน (800 มิลลิกรัม) ดังนั้นโอกาสที่แคลเซียมจากการดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมจะไปสะสมที่ไตและตกตะกอนจนทำให้เกิดเป็นนิ่ว จึงเป็นไปไม่ได้

► โปรตีน แม้ว่าปริมาณโปรตีนจะใกล้เคียงกันแต่คุณภาพโปรตีนนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากนมถั่วเหลืองซึ่งมาจากพืช อย่างไรก็ตาม คุณภาพของโปรตีนในนมถั่วเหลืองสามารถปรับปรุงให้สมบูรณ์ขึ้นได้โดยการเติมข้าวฟ่างหรือลูกเดือย ผสมกับถั่วแดงหรือถั่วทอง
► พลังงาน นมวัวมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองประมาณ 2 เท่า นมวัวจึงให้พลังงานมากกว่า การดื่มนมถั่วเหลืองที่เติมน้ำตาลจนหวานมากอาจได้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่ไม่ดีกับสุขภาพ
► วิตามิน นมวัวเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินบี 2 ซึ่งมีมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 20 เท่า
ไม่ควรซื้อถั่วลิสงมาเก็บไว้นานๆ เพราะถั่วลิสงจะขึ้นราได้ง่าย และเกิดสารพิษจากเชื้อราที่เรียกว่า "อะฟลาทอกซิน" ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน
1 สูตรได้10 ลิตร 50 หน่วยบริโภค (หน่วยละ 200 มล.)
วิธีทำ1. นำถั่วเหลืองแห้งมาเลือกถั่วเสียและสิ่งสกปรกออก ล้างถั่วเหลืองให้สะอาดด้วยน้ำ 3 ครั้ง
2 แช่ถั่วในน้ำสะอาด นานประมาณ 8-10 ชั่วโมง เมื่อครบเวลา เมล็ดถั่วเหลืองอุ้มน้ำเต็มที่ เทน้ำที่แช่ถั่วเหลืองออกให้หมด ล้างถั่วเหลืองให้สะอาดด้วยน้ำ 3 ครั้ง
3. ตวงน้ำเปล่า (สะอาด) เตรียมไว้ 10 ลิตร แบ่งน้ำเปล่าเป็น 7 ลิตรและ 3 ลิตร
4. ใช้น้ำเปล่า 7 ลิตรสำหรับบดเมล็ดถั่ว และอีกส่วน 3 ลิตรสำหรับต้มพร้อมกับน้ำนมถั่วเหลืองที่บดได้
5. บดเมล็ดถั่วเหลืองที่แช่แล้ว กับน้ำ 7 ลิตร กรองนมถั่วเหลืองด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้น ไม่ควรบีบแรงเกินไปจะทำให้กากถั่วเหลืองเล็ดออกมาในน้ำนมได้
6. ต้มน้ำเปล่า 3 ลิตรที่แบ่งไว้ให้เดือด แล้วทยอยเติมนมถั่วเหลืองครั้งละประมาณ 1.5 ลิตรจนนมถั่วเหลืองหมด ต้มให้เดือดก่อนที่จะเติมนมถั่วเหลืองครั้งต่อไป ขณะที่ต้มหมั่นคนนมถั่วเหลืองสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการไหม้บริเวณก้นหม้อ
7. เติมน้ำตาลทรายที่ผสมกับแคลเซียมเรียบร้อยแล้วลงในหม้อต้มหลังจากเติมนมถั่วเหลืองในครั้งสุดท้าย คนให้น้ำตาลละลาย ต้มจนเดือดแล้วหรี่ไฟ ต้มต่อให้เดือดนาน 15 นาที
8. ใส่ใบเตยสะอาดฉีกฝอย ซึ่งมัดเป็นกำต้มให้เดือดต่ออีก 5 นาที รวมต้มเดือดทั้งหมด 20 นาที
9. ตักใบเตยออก กรองนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมสุกที่ได้ด้วยกระชอนชนิดตาละเอียดพร้อมบรรจุ
บริษัทจำหน่ายเคมีภัณฑ์ทั่วไป ขนาดบรรจุต่ำสุด 10 กิโลกรัม ราคาประมาณ 1,700 บาท
นมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ราคาถูก พบเห็นได้ตามร้านค้าทั่วไปทั้งเช้าและค่ำ สามารถทำเองได้ไม่ยาก
นมถั่วเหลืองที่เตรียมจากถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 9-10 ส่วน จะมีโปรตีนใกล้เคียงนมวัว (5-6 กรัม ต่อ 200 มิลลิลิตร)
ไขมันจากนมถั่วเหลืองเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ขณะที่ไขมันที่ได้รับจากนมวัวเป็นไขมันอิ่มตัว
สารพฤกษเคมีในนมถั่วเหลืองสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้นมถั่วเหลืองยังมีไฟโทเอสโทรเจน สารคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยลดอาการผิดปกติของหญิงวัยหมดประจำเดือนได้
ถึงแม้ว่านมถั่วเหลืองจะดีกว่านมวัวในด้านของไขมัน แต่มีข้อด้อยกว่านมวัวในเรื่องของแคลเซียม นมถั่วเหลืองมีปริมาณแคลเซียมเพียง 1 ใน 5 ของนมวัวเท่านั้น
จากข้อจำกัดของนมถั่วเหลืองในเรื่องของแคลเซียม สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อเสริมแคลเซียมในนมถั่วเหลืองให้มีปริมาณแคลเซียมใกล้เคียงนมวัว และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสู่ชุมชน จังหวัดลำปาง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ณ ปัจจุบันนี้ยังคงผลิตจำหน่ายอยู่
แหล่งแคลเซียมที่ใช้เสริมคือไตรแคลเซียมฟอสเฟต เป็นสารเสริมอาหารที่ปลอดภัยได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา
ไตรแคลเซียมฟอสเฟตมีสัดส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสประมาณ 1 ต่อ 1 เหมาะกับการดูดซึมแคลเซียม แต่มีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำ ดังนั้น นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมสูตรนี้ของแท้จะเห็นตะกอนเมื่อวางตั้งไว้ จึงต้องเขย่าก่อนดื่ม
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งของแคลเซียมที่สามารถละลายน้ำได้ดี เช่น แคลเซียมแล็กโทกลูโคเนต แต่ต้นทุนการผลิตจะสูงกว่ามาก สำหรับต้นทุนการเสริมไตรแคลเซียมฟอสเฟตนี้เพียง 1 บาท ต่อนมถั่วเหลือง 1 ลิตร
ถ้าดื่มนมถั่วเหลืองที่ไม่ได้เสริมแคลเซียม ควรดื่มนมวัวหรือกินอาหารที่มีแคลเซียมเพิ่มเติมด้วย เช่น ปลาทอดกรอบ (สามารถกินได้ทั้งกระดูก) ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ใบมะรุม ใบยอ ใบขี้เหล็ก ใบบัวบก เป็นต้น เพื่อช่วยให้ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และสิ่งสำคัญยิ่งกว่าปริมาณแคลเซียมคือ ควรออกกำลังควบคู่กับการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์จึงจะได้สุขภาพที่แข็งแรง
ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมนานๆ จะทำให้เกิดนิ่วในไตหรือไม่
ผงสีขาวที่ตกตะกอนอยู่ก้นถุงคือเกลือไตรแคลเซียมฟอสเฟตซึ่งเป็นแหล่งของแคลเซียมเช่นเดียวกับเม็ดยาแคลเซียม แต่มีความสามารถในการละลายมากกว่า และมีสัดส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เหมาะสม ทำให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่า จึงเลือกมาใช้เสริมในนมถั่วเหลืองนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมที่ดื่มเข้าไปเมื่อผ่านไปถึงกระเพาะ ซึ่งมีภาวะเป็นกรด เกลือแคลเซียมจะละลายและแตกตัว ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก เข้าสู่กระแสเลือด และนำไปใช้ในร่างกาย
เกลือแคลเซียมที่ไม่ละลายหรือดูดซึมไม่หมด จะขับออกมากับกากอาหารเป็นอุจจาระ ดังนั้น ผงตะกอนของเกลือแคลเซียมจะไม่สามารถผ่านเข้าไปที่ไต ในรูปของตะกอนได้เลย ถ้าได้รับแคลเซียมเกินความต้องการร่างกายจะมีกระบวนการมาควบคุมให้ลดการดูดซึมลง แคลเซียมที่เติมในนมถั่วเหลืองตามสัดส่วนที่กำหนดให้ มีปริมาณใกล้เคียงกับนมวัว
การดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมเป็นประจำวันละ 1-2 แก้ว จะได้รับแคลเซียมประมาณ 290-580 มิลลิลิตร หรือประมาณร้อยละ 30-60 ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน (800 มิลลิกรัม) ดังนั้นโอกาสที่แคลเซียมจากการดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมจะไปสะสมที่ไตและตกตะกอนจนทำให้เกิดเป็นนิ่ว จึงเป็นไปไม่ได้
ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมแทนนมวัวได้หรือไม่
เด็กเล็ก ไม่ควรดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมทดแทนนมวัว เพราะอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต แต่สามารถใช้เป็นเครื่องดื่มเสริมร่วมกับนมวัวได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
► โปรตีน แม้ว่าปริมาณโปรตีนจะใกล้เคียงกันแต่คุณภาพโปรตีนนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากนมถั่วเหลืองซึ่งมาจากพืช อย่างไรก็ตาม คุณภาพของโปรตีนในนมถั่วเหลืองสามารถปรับปรุงให้สมบูรณ์ขึ้นได้โดยการเติมข้าวฟ่างหรือลูกเดือย ผสมกับถั่วแดงหรือถั่วทอง
► พลังงาน นมวัวมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองประมาณ 2 เท่า นมวัวจึงให้พลังงานมากกว่า การดื่มนมถั่วเหลืองที่เติมน้ำตาลจนหวานมากอาจได้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่ไม่ดีกับสุขภาพ
► วิตามิน นมวัวเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินบี 2 ซึ่งมีมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 20 เท่า
ถั่วลิสงผสมกับถั่วเหลืองเพื่อทำนมถั่วเหลืองได้หรือไม่
สามารถใช้ถั่วลิสงเล็กน้อยผสมกับถั่วเหลืองเพื่อทำนมถั่วเหลืองได้ ซึ่งถั่วลิสงจะช่วยให้นมถั่วเหลืองที่ได้มีสีขาวนวล มีความมันเพิ่มขึ้น แต่ถั่วลิสงที่นำมาใช้ต้องเป็นถั่วลิสงใหม่ ไม่ขึ้นรา ต้องเก็บในที่แห้ง ไม่ชื้น อากาศถ่ายเทสะดวกไม่ควรซื้อถั่วลิสงมาเก็บไว้นานๆ เพราะถั่วลิสงจะขึ้นราได้ง่าย และเกิดสารพิษจากเชื้อราที่เรียกว่า "อะฟลาทอกซิน" ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน
ผู้ชายดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันได้หรือไม่
ผู้ชายดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าสารเจนิสติน (Genistein) ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโทรเจนในเพศหญิงจะทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย
นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม
1 สูตรได้10 ลิตร 50 หน่วยบริโภค (หน่วยละ 200 มล.)ส่วนประกอบ น้ำหนัก หน่วยตวง ถั่วเหลืองเมล็ดแห้ง 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 500 กรัม น้ำเปล่า (สะอาด) 10 ลิตร ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 26 กรัม 1/3 ถ้วยตวง + 2 ช้อนโต๊ะ นมถั่วเหลือง 1 หน่วยบริโภค 200 มล.เสริมไตรแคลเซียมฟอสเฟต 0.52 กรัมได้เเคลเซียมเพิ่ม 192 มก. |
วิธีทำ1. นำถั่วเหลืองแห้งมาเลือกถั่วเสียและสิ่งสกปรกออก ล้างถั่วเหลืองให้สะอาดด้วยน้ำ 3 ครั้ง
2 แช่ถั่วในน้ำสะอาด นานประมาณ 8-10 ชั่วโมง เมื่อครบเวลา เมล็ดถั่วเหลืองอุ้มน้ำเต็มที่ เทน้ำที่แช่ถั่วเหลืองออกให้หมด ล้างถั่วเหลืองให้สะอาดด้วยน้ำ 3 ครั้ง
3. ตวงน้ำเปล่า (สะอาด) เตรียมไว้ 10 ลิตร แบ่งน้ำเปล่าเป็น 7 ลิตรและ 3 ลิตร
4. ใช้น้ำเปล่า 7 ลิตรสำหรับบดเมล็ดถั่ว และอีกส่วน 3 ลิตรสำหรับต้มพร้อมกับน้ำนมถั่วเหลืองที่บดได้
5. บดเมล็ดถั่วเหลืองที่แช่แล้ว กับน้ำ 7 ลิตร กรองนมถั่วเหลืองด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้น ไม่ควรบีบแรงเกินไปจะทำให้กากถั่วเหลืองเล็ดออกมาในน้ำนมได้
6. ต้มน้ำเปล่า 3 ลิตรที่แบ่งไว้ให้เดือด แล้วทยอยเติมนมถั่วเหลืองครั้งละประมาณ 1.5 ลิตรจนนมถั่วเหลืองหมด ต้มให้เดือดก่อนที่จะเติมนมถั่วเหลืองครั้งต่อไป ขณะที่ต้มหมั่นคนนมถั่วเหลืองสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการไหม้บริเวณก้นหม้อ
7. เติมน้ำตาลทรายที่ผสมกับแคลเซียมเรียบร้อยแล้วลงในหม้อต้มหลังจากเติมนมถั่วเหลืองในครั้งสุดท้าย คนให้น้ำตาลละลาย ต้มจนเดือดแล้วหรี่ไฟ ต้มต่อให้เดือดนาน 15 นาที
8. ใส่ใบเตยสะอาดฉีกฝอย ซึ่งมัดเป็นกำต้มให้เดือดต่ออีก 5 นาที รวมต้มเดือดทั้งหมด 20 นาที
9. ตักใบเตยออก กรองนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมสุกที่ได้ด้วยกระชอนชนิดตาละเอียดพร้อมบรรจุ
เคล็ดแต่ไม่ลับ1. การแช่ถั่วเหลืองไม่ควรแช่เกิน 10 ชั่วโมงเพราะถั่วเหลืองจะเน่า ถ้าไม่สามารถเลี่ยงได้ควรแช่ในตู้เย็น จะช่วยให้ถั่วเหลืองไม่เน่า2. ถ้าต้องการทำนมถั่วเหลืองแบบเร่งด่วน ต้มถั่วเหลืองเมล็ดแห้งในน้ำเดือด 1-2 นาที เทน้ำร้อนทิ้ง แล้วแช่ถั่วที่ลวกแล้วในน้ำเย็นทันที ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง (ทำได้เฉพาะถั่วทั้งเมล็ด) 3. การต้มนมถั่วเหลืองเดือดนาน 20นาที เพื่อทำลายสารต้านคุณค่าทางโภชนาการที่มีในถั่วเหลืองให้หมดไป และทำให้นมถั่วเหลืองสุก มีกลิ่นหอม ลดกลิ่นถั่วได้มาก 4. การกรองนมถั่วเหลืองในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อกรองเอาเศษใบเตย เนื้อถั่วเหลืองละเอียดที่อาจมีอยู่ออก ถ้าไม่กรอง เวลาดื่มจะทำให้รู้สึกสากลิ้น 5. ต้องเขย่าหรือคนนมถั่วเหลืองก่อนดื่มเพราะผงแคลเซียมจะตกตะกอนที่ก้นถ้วย ทำให้รู้สึกสากลิ้นได้ |
ซื้อไตรแคลเซียมฟอสเฟตได้อย่างไร
โครงการอาหารว่างสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ราคา 20 บาท ต่อ 100 กรัม ติดต่อที่คุณพัชราภรณ์ บุญลือ 02-8002380 ต่อ 314 หรือ E-mail : enjoy_ca@hotmail.comบริษัทจำหน่ายเคมีภัณฑ์ทั่วไป ขนาดบรรจุต่ำสุด 10 กิโลกรัม ราคาประมาณ 1,700 บาท
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
แสงแดด-คุณหรือโทษ
http://doctor.or.th/article/detail/3996
แสงแดด-คุณหรือโทษ
ความเชื่อเรื่องแสงแดดมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเป็นที่รู้กันมานานตั้งแต่สมัยโบราณก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี คือตั้งแต่กรีก อียิปต์ และเปอร์เชียนโบราณ ชนชาติบางเผ่า บูชาแสงแดดเป็นเทพ
เจ้าแห่งสุขภาพ สมัยฮิปโปเครตีสมีการสร้างวิหารเสียงดนตรี วิหารยารักษาโรค และวิหารแสงแดด ซึ่งแสดงการยอมรับว่า 3 สิ่งนี้มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มากที่สุด
คนโรมันในสมัยต่อมาก็ได้สร้างโซลาเรียมหรืออัฒจรรย์แห่งแสงแดดเพื่อสุขภาพ การแพทย์ในต้นศตวรรษที่ 19 ได้นำเอาแสงแดดมารักษาโรคหลายชนิดโดยเฉพาะโรคผิวหนัง โดยใช้แสงแดดอย่างเดียว หรือโดยให้กินยาหรือทายาก่อนอาบแดด จากความรู้ดังกล่าวที่ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ทำให้คนเชื่อในความสำคัญและเห็นประโยชน์ของแสงแดดต่อร่างกายโดยเฉพาะคนผิวขาว เนื่องจากดินฟ้าอากาศเป็นลักษณะมีแดดน้อย
ในฤดูที่มีแดดออกก็จะพากันชื่นชมออกจากที่อยู่อาศัยมานั่งนอนตากแดดกันเป็นกิจวัตร ผู้ที่พอจะขวนขวายออกไปนอกประเทศได้ก็จะเลือกไปประเทศที่มีแดดตลอดปี เพื่อหาโอกาสไปนอนผึ่งแดด เช่น ตามชายฝั่งทะเลของประเทศในเขตร้อน ด้วยความเชื่อว่าทำให้สุขภาพดีและทำให้ผิวเป็นสีน้ำตาลเกรียมแดด ซึ่งจัดเป็นสีผิวที่สวยงามของคนผิวขาว
แสงอาทิตย์มีประโยชน์มหาศาลต่อมวลมนุษย์ในด้านให้กำเนิดความร้อนและแสงสว่างในด้านแพทย์ ความร้อนจากแสงแดดมีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรค ด้านประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายเมื่อแสงแดดสัมผัสผิวจะเกิดปฏิกิริยาการสร้างวิตามินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระดูก และความร้อนที่ได้จากแสงแดดสามารถกระตุ้นให้หลอดเลือดที่ผิวขยายตัวทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น โรคผิวหนังหลายชนิดเมื่อถูกแดดแล้วอาการดีขึ้น
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาวิทยาการก้าวหน้าของวิชาผิวหนังมนุษย์เริ่มสังเกตเห็นอันตรายของแสงแดดที่มีผิวหนัง โดยมีฤทธิ์ทำให้เซลล์มีรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปและมีการสลายตัวของเซลล์บางชนิด ส่วนอันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแรงของแสง ระยะเวลาที่ถูกแสงและลักษณะของผิวแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงของผิวแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงของผิวเมื่อถูกแสงแดดมีตั้งแต่ผิวไหม้ ผิวตกกระ ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย ไปจนเกิดผลเสียร้ายแรงคือ เกิดมะเร็งผิวหนังได้ อาจมีผลต่อเซลล์ของเนื้อเยื่อตาทำให้ตาเป็นต้อเนื้อและต้อกระจก
ช่วงแสงที่มีอันตรายต่อผิวหนังมากที่สุด ได้แก่ แสงอัลตร้าไวโอเลต ซึ่งพบมากในช่วงเวลาที่แดดจัด ได้แก่ ตอนเที่ยง แต่แสงอัลตร้าไวโอเลต กว่าจะผ่านมาถึงผิวโลกจะถูกกรองด้วยสภาวะหลายอย่างในธรรมชาติเช่น เมฆ หมอก ไอน้ำ ฝุ่นละออง และมลภาวะในอากาส เพราะฉะนั้น ปริมาณแสงอัลตราไสโอเลตในเมืองจึงมีน้อยกว่าบริเวณที่อากาศบริสุทธิ์และปลอดโปร่ง เช่น ตามชายทะเล หรือกลางทะเล จะเห็นว่าผิวเกิดไหม้แดดได้ง่ายเมื่อเราไปเที่ยวเรือหรือนอนเล่นตามชายหาด
ภาวะที่ฤดูแดดจัดจนผิวไหม้ แสบร้อนและลอกในเวลาต่อมา จัดเป็นฤทธิ์เฉียบพลันเมื่อไม่มีการตากซ้ำอีกผิวที่ไหม้ก็จะค่อย ๆ หายไป แต่ถ้าถูกแดดเป็นประจำ เช่น ผู้ที่มีอาชีพทำงานกลางแจ้ง ผู้ที่ชอบนอน อาบแดดนาน ๆ เป็นประจำ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง ผิวที่ถูกแดดเป็นประจำจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากเดิมเริ่มเกิดผิวสีคล้ำบริเวณนอกร่มผ้า เช่น เกิดรอยฝ้าที่หน้า ที่คอ ที่แขน ต่อมามีจุดดำสลับขาวที่เรารียกว่า “ตกกระ” นานเข้าผิวจะบางลง
ความยืดหยุ่นของผิวเสียไป เป็นลักษณะของผิวเหี่ยวที่เห็นในคนแก่ ผิวคนแก่ก็คือการเปลี่ยนแปลงของผิวที่กรำแดดมานานกว่าเด็กและหนุ่มสาวนั่นเอง
ผิวขาวจัดจะมีความทนทานต่อแดดน้อยกว่าคนผิวคล้ำเนื่องจากมีจำนวนเม็ดสีที่ผิวน้อย เม็ดสีมีคุณ สมบัติดูดซับแสงแดดทำให้อันตรายเกิดกับผิวน้อยลง คนขาวจึงควรระวังหลีกเลี่ยงการถูกแดดมากกว่าคนผิวคล้ำ คนขาวเกิดเป็นมะเร็งที่ผิวได้ง่ายกว่าคนผิวดำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คนเผือกซึ่งไม่มีเม็ดสีที่ผิว ถ้าถูกแดดบ่อย ๆ ผิวจะเกิดเป็นมะเร็งได้ง่าย
นอกตากแดดทำให้เกิดผิวเยี่ยวย่นเหมือนผิวคนแก่ ยังทำให้เกิดอาการผิวอักเสบเนื่องจากร่างกายเกิดภูมิแพ้ อาจแพ้แดดโดยตรงหรือแพ้แดดหลังจากสัมผัสหรือกินยาบางชนิด ซึ่งเมื่อถูกแดดแสงแดดจะกระตุ้นทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ถ้าอักเสบบวมแดง พุพอง อาจเป็นมากถึงขนาดมีน้ำเหลืองไหล
ตัวอย่างเช่น ยาประเภทซัลฟา หรือเตตราซัยคลีนบางชนิดหรือยาขับปัสสาวะ หรือการใช้เครื่องสำอางบางชนิด เช่น น้ำหอมซึ่งมีส่วนผสมสารเคมีที่เมื่อถูกกับแสงแดดทำให้ผิวบริเวณที่ทาหรือแต้มเครื่องสำอางนั้นได้เกิดเป็นสีดำ ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางสมุนไพรที่มีสารประเภทโซราเรนผสมอยู่ สารโซราเรนพบได้ในพืชผักหลายชนิดถูกนำมาผสมในครีมนวดหน้า ครีมรองพื้น ซึ่งเมื่อถูกแดดจะทำให้เกิดหน้าดำหรือเป็นรอยฝ้าบริเวณที่ทา
โรคผิวหนังหลายชนิดกำเริบเมื่อถูกแสงแดด เนื่องจากแดดกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ที่ผิวหนัง อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดคือ มะเร็งผิวหนังบางชนิดเกิดจากการตากแดดมากเกินไป
เมื่อเรามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพิษภัยของแสงแดด สิ่งที่ควรปฏิบัติตัวคือการหลีกเลี่ยงแดดจัด ๆ โดยเฉพาะเวลาเที่ยง สวมเสื้อแขนยาวปกปิดผิวไม่ให้ถูกแสงโดยตรงซึ่งเป็นการป้องกันที่ได้ผลดี สวมหมวก กางร่ม ใช้ครีมผสมตัวยากันแดดที่มีคุณภาพดี ควรทาก่อนตากแดดครึ่งชั่วโมงและต้องทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
สรุปว่า แสงแดดมิใช่สิ่งที่น่าพิสมัยตามที่เคยเชื่อกันแต่โบราณ ความก้าวหน้าทางวิชาการด้านนี้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่พึงระวัง แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาดจนกลายเป็นสิ่งน่ากลัวจนเกินไป เพียงแต่ให้เราได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตามสมควร ไม่ต้องถึงขนาดต้องเปลี่ยนอาชีพการทำงานกลางแจ้งหรือหยุดเล่นกีฬาที่ชอบ หรืองดการพักผ่อนหย่อนใจด้วยการเดินชายทะเล หรือเล่นน้ำทะเลกลางแดดอ่อน ๆ นาน ๆ ครั้ง
แสงแดด-คุณหรือโทษ
ความเชื่อเรื่องแสงแดดมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเป็นที่รู้กันมานานตั้งแต่สมัยโบราณก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี คือตั้งแต่กรีก อียิปต์ และเปอร์เชียนโบราณ ชนชาติบางเผ่า บูชาแสงแดดเป็นเทพ
เจ้าแห่งสุขภาพ สมัยฮิปโปเครตีสมีการสร้างวิหารเสียงดนตรี วิหารยารักษาโรค และวิหารแสงแดด ซึ่งแสดงการยอมรับว่า 3 สิ่งนี้มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มากที่สุด
คนโรมันในสมัยต่อมาก็ได้สร้างโซลาเรียมหรืออัฒจรรย์แห่งแสงแดดเพื่อสุขภาพ การแพทย์ในต้นศตวรรษที่ 19 ได้นำเอาแสงแดดมารักษาโรคหลายชนิดโดยเฉพาะโรคผิวหนัง โดยใช้แสงแดดอย่างเดียว หรือโดยให้กินยาหรือทายาก่อนอาบแดด จากความรู้ดังกล่าวที่ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ทำให้คนเชื่อในความสำคัญและเห็นประโยชน์ของแสงแดดต่อร่างกายโดยเฉพาะคนผิวขาว เนื่องจากดินฟ้าอากาศเป็นลักษณะมีแดดน้อย
ในฤดูที่มีแดดออกก็จะพากันชื่นชมออกจากที่อยู่อาศัยมานั่งนอนตากแดดกันเป็นกิจวัตร ผู้ที่พอจะขวนขวายออกไปนอกประเทศได้ก็จะเลือกไปประเทศที่มีแดดตลอดปี เพื่อหาโอกาสไปนอนผึ่งแดด เช่น ตามชายฝั่งทะเลของประเทศในเขตร้อน ด้วยความเชื่อว่าทำให้สุขภาพดีและทำให้ผิวเป็นสีน้ำตาลเกรียมแดด ซึ่งจัดเป็นสีผิวที่สวยงามของคนผิวขาว
แสงอาทิตย์มีประโยชน์มหาศาลต่อมวลมนุษย์ในด้านให้กำเนิดความร้อนและแสงสว่างในด้านแพทย์ ความร้อนจากแสงแดดมีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรค ด้านประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายเมื่อแสงแดดสัมผัสผิวจะเกิดปฏิกิริยาการสร้างวิตามินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระดูก และความร้อนที่ได้จากแสงแดดสามารถกระตุ้นให้หลอดเลือดที่ผิวขยายตัวทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น โรคผิวหนังหลายชนิดเมื่อถูกแดดแล้วอาการดีขึ้น
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาวิทยาการก้าวหน้าของวิชาผิวหนังมนุษย์เริ่มสังเกตเห็นอันตรายของแสงแดดที่มีผิวหนัง โดยมีฤทธิ์ทำให้เซลล์มีรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปและมีการสลายตัวของเซลล์บางชนิด ส่วนอันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแรงของแสง ระยะเวลาที่ถูกแสงและลักษณะของผิวแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงของผิวแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงของผิวเมื่อถูกแสงแดดมีตั้งแต่ผิวไหม้ ผิวตกกระ ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย ไปจนเกิดผลเสียร้ายแรงคือ เกิดมะเร็งผิวหนังได้ อาจมีผลต่อเซลล์ของเนื้อเยื่อตาทำให้ตาเป็นต้อเนื้อและต้อกระจก
ช่วงแสงที่มีอันตรายต่อผิวหนังมากที่สุด ได้แก่ แสงอัลตร้าไวโอเลต ซึ่งพบมากในช่วงเวลาที่แดดจัด ได้แก่ ตอนเที่ยง แต่แสงอัลตร้าไวโอเลต กว่าจะผ่านมาถึงผิวโลกจะถูกกรองด้วยสภาวะหลายอย่างในธรรมชาติเช่น เมฆ หมอก ไอน้ำ ฝุ่นละออง และมลภาวะในอากาส เพราะฉะนั้น ปริมาณแสงอัลตราไสโอเลตในเมืองจึงมีน้อยกว่าบริเวณที่อากาศบริสุทธิ์และปลอดโปร่ง เช่น ตามชายทะเล หรือกลางทะเล จะเห็นว่าผิวเกิดไหม้แดดได้ง่ายเมื่อเราไปเที่ยวเรือหรือนอนเล่นตามชายหาด
ภาวะที่ฤดูแดดจัดจนผิวไหม้ แสบร้อนและลอกในเวลาต่อมา จัดเป็นฤทธิ์เฉียบพลันเมื่อไม่มีการตากซ้ำอีกผิวที่ไหม้ก็จะค่อย ๆ หายไป แต่ถ้าถูกแดดเป็นประจำ เช่น ผู้ที่มีอาชีพทำงานกลางแจ้ง ผู้ที่ชอบนอน อาบแดดนาน ๆ เป็นประจำ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง ผิวที่ถูกแดดเป็นประจำจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากเดิมเริ่มเกิดผิวสีคล้ำบริเวณนอกร่มผ้า เช่น เกิดรอยฝ้าที่หน้า ที่คอ ที่แขน ต่อมามีจุดดำสลับขาวที่เรารียกว่า “ตกกระ” นานเข้าผิวจะบางลง
ความยืดหยุ่นของผิวเสียไป เป็นลักษณะของผิวเหี่ยวที่เห็นในคนแก่ ผิวคนแก่ก็คือการเปลี่ยนแปลงของผิวที่กรำแดดมานานกว่าเด็กและหนุ่มสาวนั่นเอง
ผิวขาวจัดจะมีความทนทานต่อแดดน้อยกว่าคนผิวคล้ำเนื่องจากมีจำนวนเม็ดสีที่ผิวน้อย เม็ดสีมีคุณ สมบัติดูดซับแสงแดดทำให้อันตรายเกิดกับผิวน้อยลง คนขาวจึงควรระวังหลีกเลี่ยงการถูกแดดมากกว่าคนผิวคล้ำ คนขาวเกิดเป็นมะเร็งที่ผิวได้ง่ายกว่าคนผิวดำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คนเผือกซึ่งไม่มีเม็ดสีที่ผิว ถ้าถูกแดดบ่อย ๆ ผิวจะเกิดเป็นมะเร็งได้ง่าย
นอกตากแดดทำให้เกิดผิวเยี่ยวย่นเหมือนผิวคนแก่ ยังทำให้เกิดอาการผิวอักเสบเนื่องจากร่างกายเกิดภูมิแพ้ อาจแพ้แดดโดยตรงหรือแพ้แดดหลังจากสัมผัสหรือกินยาบางชนิด ซึ่งเมื่อถูกแดดแสงแดดจะกระตุ้นทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ถ้าอักเสบบวมแดง พุพอง อาจเป็นมากถึงขนาดมีน้ำเหลืองไหล
ตัวอย่างเช่น ยาประเภทซัลฟา หรือเตตราซัยคลีนบางชนิดหรือยาขับปัสสาวะ หรือการใช้เครื่องสำอางบางชนิด เช่น น้ำหอมซึ่งมีส่วนผสมสารเคมีที่เมื่อถูกกับแสงแดดทำให้ผิวบริเวณที่ทาหรือแต้มเครื่องสำอางนั้นได้เกิดเป็นสีดำ ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางสมุนไพรที่มีสารประเภทโซราเรนผสมอยู่ สารโซราเรนพบได้ในพืชผักหลายชนิดถูกนำมาผสมในครีมนวดหน้า ครีมรองพื้น ซึ่งเมื่อถูกแดดจะทำให้เกิดหน้าดำหรือเป็นรอยฝ้าบริเวณที่ทา
โรคผิวหนังหลายชนิดกำเริบเมื่อถูกแสงแดด เนื่องจากแดดกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ที่ผิวหนัง อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดคือ มะเร็งผิวหนังบางชนิดเกิดจากการตากแดดมากเกินไป
เมื่อเรามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพิษภัยของแสงแดด สิ่งที่ควรปฏิบัติตัวคือการหลีกเลี่ยงแดดจัด ๆ โดยเฉพาะเวลาเที่ยง สวมเสื้อแขนยาวปกปิดผิวไม่ให้ถูกแสงโดยตรงซึ่งเป็นการป้องกันที่ได้ผลดี สวมหมวก กางร่ม ใช้ครีมผสมตัวยากันแดดที่มีคุณภาพดี ควรทาก่อนตากแดดครึ่งชั่วโมงและต้องทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
สรุปว่า แสงแดดมิใช่สิ่งที่น่าพิสมัยตามที่เคยเชื่อกันแต่โบราณ ความก้าวหน้าทางวิชาการด้านนี้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่พึงระวัง แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาดจนกลายเป็นสิ่งน่ากลัวจนเกินไป เพียงแต่ให้เราได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตามสมควร ไม่ต้องถึงขนาดต้องเปลี่ยนอาชีพการทำงานกลางแจ้งหรือหยุดเล่นกีฬาที่ชอบ หรืองดการพักผ่อนหย่อนใจด้วยการเดินชายทะเล หรือเล่นน้ำทะเลกลางแดดอ่อน ๆ นาน ๆ ครั้ง
แสงแดด
http://www.chiangmairam.com/NEW%20CMR/nanasara/sunshine%20%20th.html
![]() | ||
อันตรายของแสง Ultraviolet ในแสงแดด 1. อันตรายต่อผิวหนัง ทำให้เกิดสีผิวเปลี่ยนไป, เหี่ยวเร็ว, รอยย่นเกิดมาก และที่สำคัญคือ กลายเป็นมะเร็งไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า, ริมฝีปาก หรือแขนขา 2. อันตรายต่อดวงตาทำให้เกิด ต้อกระจก (Cataract) และ เกิดการเสื่อมสภาพของจอรับภาพ
วิธีป้องกันแสง Ultraviolet จากแสงแดด คือ
1. หลีกเลี่ยงสัมผัสแสงแดดในช่วงที่ Ultraviolet สูง คือ ช่วงเวลา 10.30 น. ถึง 15.00 น. 2. ถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอก พยายามอยู่ในที่ร่มให้มากๆ 3. สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม รัดกุม หมวกปีกกว้างๆ จะช่วยป้องกันแดดถูกใบหน้าและต้นคอได้ดี 4. ทาผิวด้วย Sunscreen ล่วงหน้าก่อนออกแดดครึ่งชั่วโมง และ Sunscreen นี้จะต้องมี Sun protecting factor มากกว่า 15 (SPF มากกว่าหรือเท่ากับ 15) ถึงจะป้องกันแสง UV ได้ 5. หลีกเลี่ยง Reflecting surface เช่น หิมะ, พื้นกระเบื้อง 6. หลีกเลี่ยง Indoor tanning bed หรือ Sun lamp เพราะจะให้โทษเหมือนกับการตากแดด 7. ใส่แว่นตากันแดดที่ Block Ultraviolet ได้ และต้องสวมทั้งเวลาที่มีแดดจัดหรือแดดอ่อน เพราะว่าแดดอ่อนก็มี UV light ปนอยู่ด้วย
“จะเห็นว่า Ultraviolet นี้ทำอันตรายมากแก่ร่างกายของเรา
ดังนั้นเราจึงต้องพยายามเลี่ยงที่จะสัมผัสแสงประเภทนี้ และอาจจะใช้ยาหรือเครื่องป้องกันและ Ultraviolet มาใช้ร่วมด้วย” |
![]() | ||
แสงแดดแรงขึ้นทุกวัน เพราะโลกเราร้อนขึ้น ทำให้เรามีโอกาสจะถูกแดดแผดเผามาก อาจจะทำให้เกิด Sunburn หรือหมดสติไปเลยก็ได้ และเนื่องจากว่าเด็กๆ ลูกของเราอาจจะไม่รู้ถึงพิษร้ายอันนี้ ดังนั้นเราจึงควรหาทางช่วยเด็กๆ ของเรา ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น 1. ทา Sunscreen ให้ลูกของเราเวลาออกแดด ไม่ว่าจะแดดจัดหรือไม่ก็ตาม (Sunscreen นี้ต้องมีค่า SPF (Sun protecting factor) อย่างน้อย 15) 2. กำหนดเวลาให้ลูก ถ้าเกิดเด็กต้องไปออกกำลังกลางแจ้ง เช่น จักรยาน, ว่ายน้ำ 3. หลีกเลี่ยงที่จะออกกลางแจ้ง เวลา 10.30 น.ถึง 15.00 น. 4. ใส่แว่นตากันแดดที่ป้องกัน UV light ได้ 5. แต่งกายให้มิดชิด หมวกปีกกว้าง จะช่วยป้องกันแดดที่บริเวณใบหน้า และ ต้นคอได้
“อย่าลืมนะครับว่า ลูกๆ ของเรา จะต้องเจอกับแสงแดดที่ร้อนแบบนี้ไปอีกนาน
ดังนั้นโอกาสที่เขาจะเกิดโรคแก่ผิวหนัง และดวงตา ก็จะมีมากขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่จะต้องช่วยกันสอนให้เขารู้จักป้องกันตัว” |